พระอาจารย์ ว. วชิรเมธี เมตตาแสดงธรรมหัวข้อ ‘ที่สุดแห่งความดี’ ในการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ที่หอประชุมพุทธคยาเมื่อวันก่อน โดยกล่าวว่า ‘ร้อยความดี ความกตัญญูมาที่หนึ่ง’ ท่านได้เล่าเรื่องปาฏิหาริย์แห่งการกอดซึ่งประทับใจมาก ขอนำมาแบ่งปันกับผู้อ่านทุกท่าน
ปกติทุกครั้งที่ท่าน ว. กลับบ้าน โยมแม่จะยืนอยู่หัวบันไดแบบชาวบ้าน ทอดตามองพระลูกชายในระยะ 10 เมตร 100 เมตร เดินเข้าปากซอยมา แม่ยืนยิ้ม ภูมิใจ แต่วันนั้น ท่านรู้สึกว่า โยมแม่มายืนด้วยความตั้งใจที่ผิดปรกติ กุลีกุจอนิมนต์ให้ท่านขึ้นเรือน พอท่านก้าวถึงบนเรือน โยมแม่ก็โผกอด ทำให้ท่าน ว. แปลกใจและตกใจ เพราะตั้งแต่บวชเป็นเณรมานานหลายปี โยมแม่ไม่เคยกอดเลย
จากนั้น โยมแม่ก็รีบเอากุญแจไขตู้เสื้อผ้า พอบานประตูตู้เปิดออก ผ้าถุงหลายผืนก็ร่วงหล่นลงมา โยมแม่บอกว่า ทุกวันนี้ ไม่มีใครสุขเท่าแม่ ท่านมีลูกที่บวชเป็นพระ ดูแลปรนนิบัติท่านอย่างดี ซื้อผ้าถุงให้ท่านปีละหลายผืน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือสัญญาณที่โยมแม่ได้แสดงก่อนที่จะจากท่าน ว. ในอีก 6 เดือนต่อมา ด้วยโรคมะเร็ง
ด้วยความปรารถนาที่จะเห็นพระลูกชายสอบเปรียญ 9 ประโยคได้สำเร็จ โยมแม่จึงกำชับกับพี่สาวว่าห้ามบอกให้ท่าน ว. ทราบเกี่ยวกับโรคร้ายที่กำลังคร่าชีวิตของโยมแม่ นับเป็นความรักและความเสียสละอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง และเป็นการกอดครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของพระรูปหนึ่ง
ท่าน ว. เล่าว่า นับจากวันที่โยมแม่เสียไป ทุกครั้งที่เดินกลับบ้าน ทอดตามองไปที่หัวบันได ไม่มีโยมแม่มองสวนออกมา รู้สึกได้ทันทีว่า คนเป็นลูกกำพร้ามันเป็นอย่างนี้ เรียนธรรมมาตั้งมากตั้งมาย แต่ก้อนสะอื้นแล่นเป็นริ้ว ๆ จากท้องวิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ รู้สึกเลยว่าลูกที่มองขึ้นไปแล้วไม่เห็นจุดที่แม่เคยอยู่ มันปวดปลาบแค่ไหนในความรู้สึก
ตอนนี้เหลือพระอรหันต์อยู่อีกองค์หนึ่ง คือ โยมพ่อ จึงพยายามจะดูแลท่านอย่างดีที่สุด เดือนหนึ่งท่านกลับบ้านอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ค่าเดินทางนั้นเรียกว่า เอามาสร้างกุฏิได้สักหลังหนึ่ง แต่ก็คิดว่า เงินนั้นจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าโยมพ่อไม่อยู่กับเราแล้ว จะหาพ่ออย่างนั้นได้จากที่ไหน
ฉะนั้น อยากจะถามพวกเราทุกคนว่า พ่อแม่อยู่กับเราในโลกเดียวกัน เราเคยชะเง้อหน้าไปมองหาท่านไหมว่า ในห้องนั้นพ่อกับแม่นอนกันยังไง อยู่กันอย่างไร บนเตียงนั้น มีใครคอยเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้พ่อแม่บ้าง เราเคยซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ป้อนข้าวป้อนน้ำ หรือพูดจาดีๆ บอกรักท่านบ้างหรือไม่ เพราะเมื่อวันที่ท่านล่วงลับดับขันธ์ไป เราจะได้ไม่ต้องมาเสียใจ ว่าไม่ได้มีโอกาสทำดีเพื่อพ่อและแม่อีก
ในการกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณนั้นเราทำกันได้หลายวิธี ทางหนึ่งคือ เลี้ยงกาย ด้วยการปรนนิบัติพัดวีให้ท่านกินอิ่มนอนอุ่น ทางหนึ่งคือ เลี้ยงใจ ด้วยการเป็นคนดีให้ท่านเห็น ทำสิ่งดี ๆ ฝากไว้ให้โลก แล้วพ่อแม่จะมีความสุขใจที่ได้เห็นลูกของท่านเป็นอนุสาวรีย์แห่งชีวิตที่งดงามล้ำเลิศ
ดอกไม้ที่หอมที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่คือ
ดอกไม้ที่ชื่อลูกกตัญญู
ดอกไม้เหม็นที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่คือ ดอกไม้ที่ชื่อลูกเนรคุณ พ่อแม่จะมีความสุขที่สุดถ้าได้เห็นลูกของท่านเป็นลูกที่มีความกตัญญู พ่อแม่จะทุกข์ที่สุดถ้าได้ตระหนักแก่ใจว่าลูกของท่านเป็นลูกเนรคุณ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ โยมพ่อได้กอด ท่าน ว. ด้วยความรักเป็นพิเศษ ท่าน ว. ก็ไม่แน่ใจว่า โยมพ่อกำลังส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ เจ็บป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า จะเป็นการกอดครั้งสุดท้ายใช่หรือไม่ แล้วท่าน ว. ก็นั่งหน้ารถคู่กับคนขับ ปล่อยให้ลูกศิษย์นั่งอยู่หลังรถ ระหว่างทางที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูงบนถนนหลวง ปรากฏว่ามีรถสิบล้อวิ่งสวนมาในเลนด้วยกัน ชั่วพริบตานั้น ท่าน ว. ได้เห็นภาพที่ปรากฏขึ้นหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ … พระชื่อดัง … คาที่ เพราะประเมินดูแล้ว ยังไงๆ รถต้องประสานงากันแน่นอน ไม่มีทางหลบได้ทันและท่านก็อยู่นั่งหน้ารถด้วย
ในช่วงเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย ท่าน ว. ได้ใช้เวลาช่วงนั้นในการเจริญสติ อยู่กับลมหายใจเข้าออก และระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา พอลืมตา สิ่งที่เหลือเชื่อคือ รถสองคันหักหลบกันได้ในระยะห่างเพียงชั่วฝ่ามือเดียว เป็นเหตุอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตา และท่าน ว. ก็หวนนึกถึง ‘การกอด’ ของโยมพ่อก่อนท่านลากลับมา หากไม่มีกอดครั้งนี้ ท่านอาจไม่มีชีวิตรอดต่อไป
จึงเป็นเรื่อง ปาฏิหาริย์แห่งการกอด ที่พวกเราทุกคนควรหาโอกาสได้ปฏิบัติต่อบุพการีผู้มีพระคุณ ก่อนที่โอกาสนั้นจะหลุดลอยไป ไม่ต้องเขิน ไม่ต้องอาย หากจะกอดพ่อแม่ รีบกอดเลยครับ!
การสัมผัสแม้แต่การจับมือ แล้วใส่ความจริงใจด้วยสายตา เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง
ดอกไม้ที่หอมที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่คือ ดอกไม้ที่ชื่อลูกกตัญญ…..ชอบมากเลยค่ะ ^^
สิ่งที่ปกติ อยู่กับเรานานวัน กลายเป็น “สิ่งธรรมดา” มีก็งั้นๆ ไม่เหมือนสิ่งที่เรายังไม่มี ไม่ได้เป็นเจ้าของ
แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งที่ปกติขาดหายไปจากชีวิต
เมื่อนั้นเราถึงได้รู้ว่า
สิ่งที่ปกติ ธรรมดา สำคัญขนาดไหน
เหมือนแขนซ้าย ที่ดูท่าว่าไม่เห็นสำคัญสักนิด ก็มีแขนขวาแล้วนี่
แต่วันใดก็ตามที่ไม่มีแขนซ้าย
วันนั้นถึงได้รู้ว่า แขนซ้ายสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแขนขวาเลย
ซาบซึ้งจังเลย น้ำตาไหล จริงอย่างท่านพูด