ระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา รายการแข่งขันทางทีวีเห็นจะเน้นไปทางด้านร้องรำทำเพลง นับจากความสำเร็จของเวทีเอเอฟ อคาเดมีแฟนทาเซีย เมื่อหลายปีก่อน ส่งผลให้รายการทีวีแนว Reality Show ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จนกระทั่งเด็กสมัยนี้พอหัดเดินได้ พ่อแม่ก็จับเต้น หัดร้องเพลง หวังให้ลูกรวยลัด ดังเร็ว ตามแบบฉบับวัฒนธรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาเล่าเรียน การสร้างความอดทนให้เป็นผู้มีวินัย บ่มเพาะความสำเร็จค่อยๆ จางหายไป ในเมื่อคนในสังคมเห็นเส้นทางลัดสู่ความสำเร็จชั่วพริบตา จะมามัวรอคอยค่อยๆ เดินตามขั้นตอนอย่างแต่ก่อนกันทำไม
ผมไม่ได้ปฏิเสธความสามารถและพรสวรรค์ของเด็กบางคนที่เกิดมาเพื่อเป็น SuperStar หรือภาษาฮิพๆ ที่เรียกว่า Sup’Tar คือ ผู้มีแววของการเป็นศิลปินดารานักร้อง ผู้ให้ความบันเทิงแก่คนในสังคม แต่กระแสสังคมและสื่อต่างๆ หันไปโปรโมทจนทำให้ค่านิยมของสังคมไทยหนักไปทางร้องรำทำเพลงมากจนเกินเหตุ คำถามคือ แล้วเด็กที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้จะมีเวทีไหนให้พวกเขาได้พัฒนาตนเองบ้างหรือไม่ จะมีเวทีไหนให้พวกเขาได้เข้ามายืนกันอย่างสง่าผ่าเผยได้หรือไม่
จากการประกวดโพสต์ข้อความทางทวีตเตอร์ในโครงการสังคมสีขาว มีคนเข้ามาโพสต์ว่า ‘อย่าปล่อยให้ความดีไม่มีที่อยู่ อย่าปล่อยให้คนดีไม่มีที่ยืน’ เพราะตอนนี้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนไทยราว 84.5% ยอมรับว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการทำธุรกิจ จากผลการวิจัยของเอแบคโพลล์ นอกจากนี้ เยาวชน 51.2% ยอมรับรัฐบาลที่ฉ้อราฏร์บังหลวง เพียงขอให้ทำประโยชน์แก่ประเทศและให้พวกเขาได้รับประโยชน์ไปด้วย นับว่าเป็นแนวความคิดที่อันตรายและเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง
เยาวชนไทยสมัยใหม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติสามัญ เพราะเขาได้สัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ตั้งแต่อยู่ในรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ตั้งแต่การลอกข้อสอบ ตัดแปะรายงานจากเว็บไซต์เพื่อส่งอาจารย์ การไม่ตรงต่อเวลา ขาดวินัย หลายแห่งกำลังปล่อยให้วัฒนธรรมอันอ่อนโยนแต่เข้มแข็งของเราสูญหายไป เช่น การยืนตรงเคารพธงชาติ การมีสัมมาคารวะ นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ การมีน้ำใจ โอบอ้อมอารีย์ ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร จากวัฒนธรรมอันอ่อนโยนกลายเป็นก้าวร้าว จากสุภาพกลายเป็นหยาบกระด้าง จากผิดกลายเป็นถูก สลับสับสน กลายเป็นความอ่อนแอทางวัฒนธรรม
ที่สำคัญ เยาวชนสมัยนี้ยังหมกมุ่นอยู่กับการท่องจำตำราเพื่อยัดความรู้มือสองเข้าไปในสมองซีกซ้ายก่อนวันสอบไล่ไม่กี่วัน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ใบปริญญาไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมอุดมปริญญา โดยมีสถิติผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกสูงอันดับต้นๆ ของเอเชีย รวมทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาตรี แต่ปรากฏว่าเมื่อมีการสมัครงานแข่งกับประเทศอื่นๆ อีก 12 ประเทศ บัณฑิตไทยกลับมาเป็นอันดับท้ายๆ แสดงว่า อุดมปริญญาแต่ไม่มีปัญญาอย่างแท้จริง เมื่อความรู้ไม่มี ความดีไม่ปรากฏ แล้วจะได้งานทำอย่างไร
ความน่าเป็นห่วงคือภายในห้าปีข้างหน้า เรากำลังเข้าสู่ตลาดเดียว (Single Market) จากการประกาศ ASEAN Economic Community หรือ AEC มีความเป็นไปได้ที่จะมีการไหลของการจ้างงานอย่างเป็นอิสระใน 10 ประเทศอาเซียนซึ่งมีประชากรรวม 580 ล้านคน คำถามคือ เยาวชนไทยจะแข่งขันกับเขาได้หรือไม่ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป
จากการจัดอันดับสำคัญๆ ใน 10 ประเทศอาเซียน ณ ขณะนี้ สังคมไทยและคนไทยกำลังตกอันดับลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ด้านไอคิวซึ่งลดลงต่ำกว่าเด็กลาวเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ลดเหลือ 88 จากที่เคยอยู่ 90 กว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานต่ำกว่าอินโดนีเซียกว่าเท่าตัว ด้านนวัตกรรม R&D ต่ำกว่าเวียดนามเท่าตัว การอ่านหนังสือต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ในขณะที่เราได้แชมป์โลกด้านยาบ้า ติดอันดับท็อปเท็นด้านทุจริตคอร์รัปชั่น มีคดีเยาวชนทั่วประเทศปีละหลายหมื่นคดี และได้ 3 แชมป์โลกสำหรับประเทศที่มี Teen Mom หรือเด็กหญิงแม่ คือ เด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ต่ำกว่า 18 ปี และต่ำกว่า 21 ปี ตั้งครรภ์และทำแท้งสูงที่สุดในโลก จนกำลังจะมีกฏหมายออกมารับรองให้เด็กหญิงแม่ที่ตั้งครรภ์ได้มีโอกาสกลับเข้าไปเรียนได้ตามปกติ เป็นข้อมูลที่รับทราบแล้ว คนไทยคงอยู่นิ่งเฉยกันต่อไปไม่ได้ เพราะเรื่องราวเหล่านี้เริ่มเข้าใกล้ตัวเข้ามามากขึ้น และอาจหมายถึงลูกหลานในครอบครัวเราก็เป็นได้
ถึงเวลาที่คนไทยทุกคนควรต้องลุกขึ้นมาทวงพื้นที่ประเทศไทยที่น่าอยู่ที่สุดในโลกกลับคืนมา ประเทศเราจะน่าอยู่ได้ก็เพราะคนไทยสายพันธุ์เดิมผู้มีเสน่ห์ จิตใจดี โอบอ้อมอารี มีสัมมาคารวะ รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร อย่าปล่อยให้วัฒนธรรมใหม่แห่งการคดโกง โกหก ก้าวร้าว และการกระทำผิดๆ ขึ้นมากลบให้วัฒนธรรมอันดีงามของเราสูญหายไป
จึงเป็นที่มาของการเปิดเวทีความดีครั้งแรกของประเทศ เป็นการรวมพลังความดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นรางวัลทรงเกียรติสูงสุดในชีวิต นั่นคือ โครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย 2553 หรือ D Ambassador 2010 ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โดยการเชิญชวนเยาวชนทั่วประเทศทั้งที่อยู่ในระบบและนอกระบบ อายุ 15 – 25 ปี ส่งวีดีโอคลิปความยาวไม่เกิน 3 นาที บอกเล่าเรื่องราวความดีที่ตนเองได้ทำมาทางเว็บไซต์ www.do-d-club.com ซึ่งเริ่มเปิดให้มีการโหวตตั้งแต่วันนี้และปิดรับสมัครภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน ศกนี้
ต้นเดือนธันวาคมจะมีการเดินสายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อทำการ Live Audition ค้นหาเยาวชนต้นแบบ ผู้มีจิตอาสา กล้าทำความดี และสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นทำความดีด้วย โดยทีมที่ชนะเลิศจากทั่วประเทศจะมีโอกาสเข้าบ้านความดี และมีภาระกิจในการส่งต่อความดี เชิญชวนคนไทยทั้งประเทศให้ทำความดีร่วมกัน โดยเปิดโอกาสให้มีการโหวตผ่านทาง SMS และช่องทางต่างๆ ต่อจากนั้น เยาวชนที่ชนะเลิศเหล่านี้จะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการทำความดี เปลี่ยนแปลงประเทศต่อไป กลายเป็น Change Agent
สำหรับผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 25 ปีก็สามารถเข้าร่วมได้ทุกคน เพราะเราคือเจ้าของประเทศนี้ ขอเชิญมาร่วมเป็นองค์กรภาคีสีขาว ด้วยการตั้งปฏิญญาว่าจะไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกกรณี จะรับสมัครพนักงานโดยการพิจารณากิจกรรมจิตอาสาการทำความดี ควบคู่ไปกับใบทรานสคริปท์ และมีการประเมินผลงานพนักงานประจำปี โดยให้คะแนนทางด้าน ISR การทำความดีที่มาจากตัวเอง เพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้น สนใจเชิญติดต่อที่โครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย โทร. 02-6102364
ความดี ยิ่งพูด ยิ่งทำ ยิ่งมีพลัง และทุกครั้งที่ลงทุนด้วยความดี ไม่มีวันขาดทุน
ลงทุนด้วยความดี มีแต่กำไร!!