“รากเหง้าแห่งการพัฒนา ศาสตร์พระราชาและบทเรียนจากบ้านเชียง...เพราะความเจริญที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเดินออกจากบ้านเกิด แต่อาจเริ่มจากการหันกลับมาเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว”
เมื่อได้มีโอกาสไปเยือน “บ้านเชียง” จังหวัดอุดรธานี ภาพที่ปรากฏต่อหน้ามิใช่เพียงหมู่บ้านเก่าแก่หรือแหล่งโบราณคดีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม หากแต่คือหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยพลังของ “รากเหง้า” ซึ่งยังคงหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในพื้นที่มาจนถึงปัจจุบัน
คนจำนวนมากอาจมองว่าความเจริญคือสิ่งที่ต้อง “เดินออกจากบ้านเกิด” ไปแสวงหาที่อื่น แต่เรื่องราวของ “แม่ก้อย” คุณบุษราภรณ์ กลางพรหม มัคคุเทศก์ท้องถิ่นแห่งบ้านเชียง กลับเป็นอีกบทหนึ่งของความเจริญที่เริ่มต้นจาก “การกลับบ้าน”
เมื่อกว่า 10 ปีก่อน แม่ก้อยเคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ทำงานประจำท่ามกลางแสงสีและความเร่งรีบของเมืองใหญ่ เธอยอมรับว่าเคยหลงอยู่ในความฟุ้งเฟ้อ จนแทบลืมวิถีบ้านเกิด จนวันหนึ่งครอบครัวโทรมาตามให้กลับไปช่วยธุรกิจของครอบครัว ซึ่งเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการขายของที่ระลึกในชุมชน ตอนนั้นเธอไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ...
“รากเหง้าแห่งการพัฒนา ศาสตร์พระราชาและบทเรียนจากบ้านเชียง...เพราะความเจริญที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเดินออกจากบ้านเกิด แต่อาจเริ่มจากการหันกลับมาเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว”
เมื่อได้มีโอกาสไปเยือน “บ้านเชียง” จังหวัดอุดรธานี ภาพที่ปรากฏต่อหน้ามิใช่เพียงหมู่บ้านเก่าแก่หรือแหล่งโบราณคดีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม หากแต่คือหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยพลังของ “รากเหง้า” ซึ่งยังคงหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในพื้นที่มาจนถึงปัจจุบัน
คนจำนวนมากอาจมองว่าความเจริญคือสิ่งที่ต้อง “เดินออกจากบ้านเกิด” ไปแสวงหาที่อื่น แต่เรื่องราวของ “แม่ก้อย” คุณบุษราภรณ์ กลางพรหม มัคคุเทศก์ท้องถิ่นแห่งบ้านเชียง กลับเป็นอีกบทหนึ่งของความเจริญที่เริ่มต้นจาก “การกลับบ้าน”
เมื่อกว่า 10 ปีก่อน แม่ก้อยเคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ทำงานประจำท่ามกลางแสงสีและความเร่งรีบของเมืองใหญ่ เธอยอมรับว่าเคยหลงอยู่ในความฟุ้งเฟ้อ จนแทบลืมวิถีบ้านเกิด จนวันหนึ่งครอบครัวโทรมาตามให้กลับไปช่วยธุรกิจของครอบครัว ซึ่งเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการขายของที่ระลึกในชุมชน ตอนนั้นเธอไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ...
กว่าที่ผืนผ้าจะก้าวจาก “เครื่องนุ่งห่ม” สู่ “พลังวัฒนธรรม” หรือ Soft Power ที่ทําให้ชาวโลกหันมา ชื่นชมและอยากมีส่วนร่วมได้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ
หากแต่เป็นผลลัพธ์ของการผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากผู้นําที่ทรงวิสัยทัศน์ และจากแนวร่วมที่พร้อมสืบสานคุณค่าร่วมกัน สําหรับ “ผ้าไทย” เบื้องหลัง ความงดงามจึงไม่ใช่เพียงเรื่องแฟชั่นหรือการแต่งกาย แต่คือพลังเงียบที่สะท้อนตัวตน ความคิด และวิถีชีวิต ของคนไทยที่สั่งสมมาหลายศตวรรษ และวันนี้ พลังนั้นได้ก้าวไกลไปสู่เวทีโลก
เรื่องราวของ Soft Power ผ้าไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2503 เมื่อสมเด็จพระพันปีหลวงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ...
"วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร" หรือ "วัดปทุม" ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูง แต่กลับเป็นพื้นที่สีเขียวที่ให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ทำให้วัดปทุมพิเศษกว่าวัดอื่นๆ คือความเป็นสวนป่าในตัวเมืองที่ยังคงรักษาธรรมชาติไว้ได้อย่างสมบูรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ว่า หากต้นไม้ที่วัดปทุมถูกตัด พระองค์จะไม่เสด็จมาอีก พระราชดำรัสนี้สะท้อนให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์ที่พระองค์เล็งเห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติที่มีต่อชีวิตและจิตใจของมนุษย์ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วัดแห่งนี้ยังคงเป็น "สถานที่ซักฟอกใจของคนกรุง" มาจนถึงปัจจุบัน
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
เมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณวัด ผู้มาเยือนจะได้พบกับพระพุทธรูปโบราณที่มีคุณค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในพระอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระสายน์ พระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัยจากเมืองมหาไชยกองแก้ว ประเทศลาว และในพระวิหารซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระเสริมและพระแสน พระพุทธรูปทั้งสามองค์ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ศิลปกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงความงดงามของศิลปะล้านช้าง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและปราณีต อีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดคือ พระเจดีย์แห่งราชสกุลมหิดล ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สมาชิกในราชสกุลมหิดล ภายในบรรจุพระอัฐิ ...
ในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงิน และผลประโยชน์ พวกเราส่วนใหญ่ได้กลายเป็นนักคิดคำนวณที่ชำนาญในการชั่งน้ำหนักแห่งผลประโยชน์ ทุกการลงทุนต้องมี ROI หรือผลตอบแทนที่ชัดเจน มีมูลค่าที่วัดได้
ความคิดแบบนี้กลายเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต จนเราลืมไปว่า มีสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญเหนือผลกำไร แม้ว่าจะดูขัดแย้งกับหลักเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ทุกประการ นั่นคือเรื่องของ “การเสียสละเพื่อส่วนรวม” ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญ ที่ทำให้โลกของเรายังดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
หนึ่งในบุคคลที่สะท้อนคุณค่าของการเสียสละได้อย่างลึกซึ้งที่สุด นั่นคือพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชทรัพย์นับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้ เพื่อโครงการพระราชดำริ 5,151 โครงการทั่วประเทศ หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการฝนหลวง การสร้างฝายชะลอน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำ พื้นที่เสื่อมโทรม ฯลฯ ...
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา ได้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
รวมถึงสภาพแวดล้อมที่กำลังถูกทำลาย ด้วยความห่วงใยว่า ทุกวันนี้ ป่าหายไป น้ำแล้ง ปอดไม่ได้ฟอก เราควรต้องรู้ว่าจะบริหารจัดการแผ่นดิน ให้อยู่รอดได้อย่างไร เมื่อเราตักข้าวใส่จาน แล้วมองไปในจานข้าว ถ้าไม่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ เราก็ไม่มีข้าวในจาน เทคโนโลยี AI ก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ของจริง สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาหาของจริง เราก็ต้องกิน สิ่งที่ธรรมชาติให้มาคือ “ดิน” “น้ำ” “ลม” ...
สิ่งใดเป็นกุศล สำเร็จผลเป็นอัศจรรย์ …มูลนิธิธรรมดีเป็นตัวแทนพุทธศาสนิกชน ปวงชนชาวไทยถวายพัดขนนกยูง แด่พระมหามัยยมุนี "ผู้รู้อันประเสริฐ"อายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี เมืองมัณฑะเลย์ สหภาพเมียนมาเพื่อใช้ในพิธีล้างพระพักตร์ โดยท่านเจ้าอาวาสเมตตาจะใช้พัดขนนกที่ถวายนี้ในพิธีล้างพระพักตร์ เป็นประจำทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และรัชกาลที่ ๑๐ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และความเป็นสิริมงคลสูงสุดต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และขจัดปัดเป่าอวมงคลและสิ่งชั่วร้ายให้อันตรธานหายไป
ขอน้อมถวายมหากุศลนี้แด่พระเจ้าบุเรงนองมหาราชสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
สมเด็จพระเอกาทศรถ
สมเด็จพระพี่นางเธอสุพรรณกัลยา
พระเจ้าอุทุมพร
พระเจ้าอลองพญา
พระเจ้ามังระ (พระเจ้าช้างเผือก)
แม่ทัพ เนเมียวสีหบดี มังมหานรธา
เมงเยเมงละอูสะนา
มังกะยอซู
ขุนรองปลัดชู และชาวบ้านกองอาทมาท 400 แห่งวิเศษชัยชาญ
บรรพชนชาวไทยและชาวพม่า
พัดขนนกยูงเป็นตัวแทนถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่เสวยพระชาติเป็นพญานกยูงทอง เป็นคาถาที่ปรากฏในคาถาโมรปริตร มีผ้ายันต์ลายมือของหลวงปู่มั่น ...
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี เมตตาบอกเคล็ดลับแก่ศิษยานุศิษย์ว่า หากใครปรารถนาความร่ำรวยระดับเศรษฐี มีวาสนาดี เงินทองคล่องมือ ไม่มีวันตกต่ำ ขอให้ร่วมเป็นเจ้าภาพในการทอดกฐิน ผ้าป่าติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีติดกัน
การร่วมเป็นเจ้าภาพนั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นถึงประธานหรือกรรมการที่มีการกำหนดกันว่าต้องบริจาคเงินเท่านั้นเท่านี้ แต่การร่วมเป็นเจ้าภาพนั้นหมายถึง เป็นกฐินสามัคคีที่ทุกคนร่วมเป็นเจ้าภาพได้ จะร่วมเป็นเจ้าภาพใส่ซองหนึ่งบาทหรือพันบาท ก็ถือว่าร่วมเป็นเจ้าภาพได้บุญทั้งสิ้น แต่ใครจะได้บุญมากหรือน้อย พิจารณาจากจิตอันเป็นกุศล ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการถวาย เงินทำบุญที่บริสุทธิ์ และความพยายาม ซึ่งก็แล้วแต่บุญและกรรมของคนที่ทำ
ในสมัยพุทธกาลมีตัวอย่างมากมายหลายเรื่องที่คนทำบุญด้วยเงินน้อยแต่ได้ผลบุญที่ออกดอกออกผลมหาศาล พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่าคนที่ทอดกฐินด้วยใจบริสุทธิ์ หรือว่าร่วมในการทอดกฐินครั้งหนึ่งก็ดี จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ...
