ในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงิน และผลประโยชน์ พวกเราส่วนใหญ่ได้กลายเป็นนักคิดคำนวณที่ชำนาญในการชั่งน้ำหนักแห่งผลประโยชน์ ทุกการลงทุนต้องมี ROI หรือผลตอบแทนที่ชัดเจน มีมูลค่าที่วัดได้
ความคิดแบบนี้กลายเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต จนเราลืมไปว่า มีสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญเหนือผลกำไร แม้ว่าจะดูขัดแย้งกับหลักเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ทุกประการ นั่นคือเรื่องของ “การเสียสละเพื่อส่วนรวม” ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญ ที่ทำให้โลกของเรายังดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

หนึ่งในบุคคลที่สะท้อนคุณค่าของการเสียสละได้อย่างลึกซึ้งที่สุด นั่นคือพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชทรัพย์นับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้ เพื่อโครงการพระราชดำริ 5,151 โครงการทั่วประเทศ หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการฝนหลวง การสร้างฝายชะลอน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำ พื้นที่เสื่อมโทรม ฯลฯ ส่วนใหญ่ไม่มีผลตอบแทนในทางวัตถุที่แน่ชัด แต่กลับได้ “ผลตอบแทน” ที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือความอยู่รอดและคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศ นี่คือหัวใจของคำว่า “ขาดทุนคือกำไร” หนึ่งใน 23 หลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9
ความย้อนแย้งในคำว่า “ขาดทุนคือกำไร” นั้นไม่ใช่การเล่นคำหรือปริศนาทางภาษา หากแต่เป็นการท้าทายโครงสร้างความคิดที่เราถือมั่นมายาวนาน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานแนวพระราชดำรินี้ พระองค์ได้ทรงเปิดประตูสู่มิติใหม่ของการมองโลก ที่ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดจากสิ่งที่เราได้รับ แต่วัดจากสิ่งที่เราสามารถให้ได้ การ “ขาดทุน” ในวันนี้ กลายเป็น “กำไร” ที่ยั่งยืนในอนาคต ไม่ใช่เพียงสำหรับตัวเราเอง แต่สำหรับความเจริญของสังคมโดยรวม
แนวทางดำเนินตามหลัก “ขาดทุนคือกำไร” เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
- วางตัวตน ไม่ยึดถือว่าตัวเองหรือพวกพ้องสำคัญกว่าใคร การเสียสละเพื่อส่วนรวมจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อเราก้าวข้าม “ความเป็นตัวกูของกู” ไปได้ ไม่มองทุกเรื่องผ่านกรอบของผลประโยชน์ต่อตัวเองหรือคนกลุ่มเดียว เช่น ครอบครัว พรรคพวก ศาสนา หรืออุดมการณ์ใดๆ
- พิจารณา “ผลแห่งการกระทำ” ให้ลึกกว่าแค่ระยะสั้น ทุกการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ต้องพิจารณาว่า “สิ่งที่เราทำ” แม้จะดูเหมือนเสียเปรียบในวันนี้ อาจก่อให้เกิดผลดีในระยะยาวกับผู้คนจำนวนมาก
- ลงมือทำด้วยจิตที่ “บริสุทธิ์” และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง การเสียสละใดๆ ที่แท้จริงต้องมาจากใจที่บริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ต้องการคำยกย่อง การขาดทุนที่กลายเป็นกำไรในเชิงจิตวิญญาณ จึงจะเกิดขึ้น
- ฝึก “เมตตา” ในระดับที่มองเห็นความสุขของผู้อื่นสำคัญเท่ากับของตัวเองการเสียสละเพื่อส่วนรวมต้องมาจากพื้นฐานของหัวใจที่รักเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่เพียงสงสาร แต่เป็น “เมตตาเชิงรุก” ที่พร้อมจะลงมือเพื่อคลี่คลายปัญหา
- ยอมเป็น “ผู้ปลูก” แม้จะไม่ได้เป็น “ผู้เก็บเกี่ยว”ขาดทุนในที่นี้คือการยอม “ลงทุนด้วยทรัพย์ ใจ เวลา และพลัง” โดยไม่จำเป็นต้องเห็นผลในยุคของตัวเอง เหมือนในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หลายโครงการทรงริเริ่มไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับประโยชน์

นี่คือสิ่งที่โลกยุคใหม่ต้องการ คือ การเปลี่ยน mindset จากการแข่งขันเป็นการร่วมมือ จากการคิดแต่ตัวเองเป็นการคิดถึงส่วนรวม ในสังคมที่ทุกคนต้องการเป็นที่หนึ่ง ทุกคนต้องการชนะเหนือผู้อื่น ผลที่ตามมาคือความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ และสังคมที่แตกแยก แต่หากเราเปลี่ยนมาคิดว่า “เราจะชนะไปด้วยกันได้อย่างไร” ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ความงดงามของ “ขาดทุนคือกำไร” อยู่ที่การสร้างความไว้วางใจ ความเมตตา และความเข้าใจกันในสังคม สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญของความยั่งยืน หากสังคมขาดความเสียสละ เราอาจมีเมืองที่เจริญทางวัตถุ แต่ขาดคุณภาพชีวิตที่แท้จริง ขาดความอบอุ่นในความสัมพันธ์ และขาดอนาคตที่ยั่งยืน
โครงการตามรอยพระราชา ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 โดยเป็นการเผยแพร่ศาสตร์ของพระราชา และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมด้วยคุณธรรม 5 ประการ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ 17 เป้าหมาย ภายในปี 2030 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ FB : ตามรอยพระราชา-The King’s Journey

