- สมองไม่รู้สึกเจ็บปวด
“ทำใจให้สบายนะ เจ็บนิดเดียวเอง..”
ในสมองไม่มีตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมศัลยแพทย์จึงสามารถทำการผ่าตัดสมองในผู้ป่วยขณะที่พวกเขายังตื่นอยู่ได้
ที่ทำเช่นนี้เพื่อให้มั่นใจว่าการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อนจะไม่กระทบต่อการทำงานของสมองที่เกี่ยวกับการมองเห็นและการควบคุมกลไกต่างๆ
อีกอย่าง มันก็ดูน่าหวาดเสียวดีด้วย แล้วทำไมเราถึงรู้สึกเจ็บด้วย?
นั่นก็เพราะว่าตัวรับรู้ความเจ็บปวด (โนซิเซปเตอร์) หรือตัวรับความรู้สึกจะส่งสัญญาณไปยังเส้นประสาทไขสันหลังและสมองเรา
เพื่อแจ้งเตือนอันตราย แค่ส่งการ์ดอย่างเดียวไม่ได้หรือไงนะ?
- หลอดเลือดในสมองมีความยาวรวมกันเท่ากับ 1 แสนไมล์
ในสมองมีเซลล์ประสาทรวมกันมากกว่าแสนล้านเซลล์ ซึ่งมากเท่าๆ กับทั้งแกแล็กซี่อัดรวมกันอยู่ในเนื้อสมองที่มีขนาดเท่าลูกแคนตาลูป
สมองใช้พลังงานประมาณ 17% ของพลังงานที่ร่างกายใช้ และใช้ออกซิเจน 20%
ขณะที่มีมวลเพียง 2% สมองสามารถผลิตไฟฟ้าได้ระหว่าง 10-23 วัตต์ในขณะที่ตื่นอยู่ ซึ่งมากพอที่จะทำให้หลอดไฟสว่างได้
สมองมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำถึง 75% เส้นใยที่ยั้วเยี้ยในสมองของเรามีไซแนปส์ หรือจุดประสานประสาทอยู่มากกว่า 100 ล้านล้านจุด
ที่คอยเชื่อมเซลล์ประสาทเข้าด้วยกัน และยังมีพื้นที่มากพอที่จะเก็บพจนานุกรมเล่มโตๆ ได้ถึงห้าเล่ม หรือเก็บข้อมูลได้ 1,000 เทอราไบต์
- มีการเก็บรักษาสมองของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เอาไว้
ตอนที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ Albert Einstein เสียชีวิตในปี 1955 พวกเขาไม่เพียงเก็บรักษาผมขาวๆ ของเขาเอาไว้เท่านั้น
หากแต่ยังได้คว้านเอาสมองของเขาออกมาเก็บไว้ด้วย ดร.โทมัส ฮาร์วีย์ได้ใช้เวลาถึงเจ็ดชั่วโมงครึ่ง
ในการควักสมองของไอน์สไตน์ออกมาหลังจากที่เขาเสียชีวิต นัยว่าเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
แต่ต่อมามันได้หายไป จนกระทั่งในปี 1978 ที่มีนักข่าวหัวเห็ดนามว่าสตีเว่น เลวี่
เขาได้ขุดคุ้ยเรื่องราวและแกะรอย ดร.ฮาร์วีย์ ไปจนถึงเมืองวิชิต้า รัฐแคนซัสซิตี้ ที่ซึ่งคุณหมอคนเก่งท่านนี้ได้เปิดปากยอมรับว่า
เขายังคงเก็บสมองของไอน์สไตน์เอาไว้ และได้ทำการหั่นออกเป็นชิ้นถึง 240 ชิ้นและแช่ฟอร์มัลดีไฮด์ไว้ในโหลดองอย่างดี
- สมองซีกขวาและซีกซ้าย มีความแตกต่างกัน
สมองถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน สมองสามารถทำงานร่วมกันได้
แต่สมองซีกซ้ายจะชอบอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล ชอบคิดวิเคราะห์ ขณะที่ซีกขวาจะเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และมโนทัศน์มากกว่า
นอกจากนี้ยังทำงานตรงข้ามกันด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดเท้าซ้ายสะดุด ความเจ็บปวดจะถูกประมวลผลที่ซีกขวา
และมันจะกลับด้านที่ถูกต้องขึ้น ไม่ว่าภาพจะกลับหัวอย่างไร ภาพที่เกิดขึ้นในดวงตาเรา จริงๆ แล้วได้รับมาแบบกลับหัว
แต่สมองจะเปลี่ยนให้มันถูก แต่ที่แปลกจริงๆ คือ แม้ว่าคุณจะสูญเสียสมองไปซีกหนึ่ง
คุณก็ยังจะมีชีวิตรอดได้ อ่อ อาจจะยังไม่แปลกพอ ก็ลองดูที่นักการเมืองงี่เง่าดูละกันครับ
- สมองของผู้ชายใหญ่กว่าของผู้หญิง 10%
เป็นความจริงที่สมองของผู้ชายใหญ่กว่าของผู้หญิงอยู่ราว 10% แต่สาว ๆ อย่าเพิ่งใจเสียไป
เพราะแม้สมองของผู้หญิงจะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็มีเซลล์ประสาท การเชื่อมโยงของเส้นประสาท
และการทำงานที่มีประสิทธิภาพกว่าในสมองผู้ชาย นอกจากนี้ยังพบว่า
ผู้หญิงพึ่งพาการทำงานของสมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า
ในขณะที่ผู้ชายพึ่งพาการทำงานของสมองซีกซ้ายที่ทำหน้าที่ด้านเหตุผลและตรรกะมากกว่า
และยังพบว่าผู้หญิงยังมีสมองส่วนที่เรียกว่า straight gyrus หรือ รอยหยักเรียบ ใหญ่กว่าของผู้ชายเมื่อเทียบกับสัดส่วนสมองทั้งก้อน
ซึ่งส่วนรอยหยักเรียบนี้รับผิดชอบพฤติกรรมการเลี้ยงดูเอาใจใส่ อันเป็นลักษณะที่เห็นเด่นชัดในเพศแม่ด้วย
- สมองทำงานหนักขึ้นยามคุณหลับ
ในห้วงนิทราที่เราพักผ่อน ร่างกายหยุดนิ่งไม่ขยับ น่าแปลกที่สมองกลับทำงานหนักยิ่งกว่าตอนตื่นเสียอีก
ช่วงเวลาที่ร่างกายพักผ่อนเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการทำงานของสมองมากที่สุด เพื่อจัดระบบข้อมูลกับสิ่งที่เราทำมาตลอดทั้งวัน
และเชื่อว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราฝัน มีความเชื่อว่าความฝันเป็นกระบวนการของสมอง
เพื่อประมวลผลข้อมูลอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนและการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ผลงานศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ชี้ให้เห็นว่าการฝันช่วยให้บรรเทาความเจ็บปวดลงได้ นอกจากนี้ผู้ที่มีไอคิวสูงยังมีแนวโน้มฝันบ่อยกว่าคนปกติ
และการงีบหลับระหว่างวันก็ช่วยให้สมองสดชื่นทำงานได้ดีขึ้นด้วย
- Inception มีจริง
หลาย ๆ คนคงจะเคยดูภาพยนตร์ Inception (2010) ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง มันคือเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถควบคุมความฝันได้
แม้ในภาพยนตร์จะออกแนวฟิคชั่นไซไฟ แต่ก็มีส่วนใกล้เคียงความเป็นจริงอยู่บ้าง ในจุดที่ว่าคนเราสามารถควบคุมความฝันได้จริง ๆ
ในระดับของความฝัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองนั้น มีภาวะหนึ่งที่เรียกว่า Lucid dream หรืออาจเรียกว่าเป็น ฝันรู้ตัว
เนื่องจากบุคคลคนนั้นรู้ตัวได้ว่าตนเองกำลังฝันอยู่ และเมื่อเริ่มมีการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ขึ้น ความพยายามในการควบคุมความฝันก็ตามมา
จนในตอนนี้ที่เมืองนอกมีทั้งการเปิดคอร์สและเขียนหนังสือว่าด้วยการควบคุมความฝันให้เพียบ
จะดีแค่ไหนที่เราสามารถทำสิ่งที่ไม่สามารถลงมือทำได้ในความจริง แล้วไปทำในความฝันแทน
ซึ่งสิ่งที่เราฝันเห็นในช่วง lucid dream นี้ ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องความต้องการพื้้นฐานของมนุษย์ รวมถึงเรื่องเซ็กส์ด้วยนะ !!..
รู้หรือยังว่าทำไมถึงอยากควบคุมความฝันให้ได้กันนัก
- กลไกสมองของการหัวเราะ จนบัดนี้เราก็ยังไม่เข้าใจ
การหัวเราะที่จริงใจคือเสียงฮ่าๆ ที่หลุดออกมาโดยไม่ได้เสแสร้ง และมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่สามารถหัวเราะได้
เด็กทารกจะเริ่มหัวเราะเป็นตอนอายุได้ 4 เดือน ไม่เชื่อลองไปสังเกตดู ไม่ว่าจะหมา แมว นก หนู ก็หัวเราะไม่เป็นทั้งนั้น
การหัวเราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีการวางแผน และเกิดขึ้นโดยไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำ
แต่จนกระทั่งตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าสมองส่วนไหนของมนุษย์ที่รับผิดชอบเรื่องการหัวเราะ
กลไกสมองที่ทำให้เกิดการหัวเราะนั้นเป็นอย่างไร ยังเป็นคำตอบที่ไม่มีใครไขได้กระจ่าง
- ขนาดสมองไม่ได้สอดคล้องกับความฉลาด
ประสิทธิภาพการทำงานของสมองไม่เกี่ยวข้องกับขนาดโดยสิ้นเชิง ดูอย่างสมองของไอน์สไตน์เป็นตัวอย่าง ซึ่งมีมวลแค่ 1,230 กรัม
ในขณะที่ขนาดสมองโดยเฉลี่ยของผู้ชายมีมวล 1,400 กรัม แต่ความฉลาดของไอน์สไตน์กลับทิ้งห่างคนทั่วไปหลายเท่านัก
สิ่งสำคัญที่จะบ่งว่าฉลาดมากน้อยแค่ไหนคือการเชื่อมโยงกันของเซลล์ประสาทในสมองที่เรียกว่า ไซแนปส์ (Synapse) ต่างหาก
- คิมอึงยอง บุคคลฉลาดที่สุดในโลก IQ ของเขาทะลุ 210
คิมอึงยอง ชาวเกาหลีใต้ เป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลก วัดไอคิวได้ถึงระดับ 210 คิมเกิดในปี 1972 เขาเริ่มพูดได้เมื่ออายุเพียง 6 เดือน
และอ่านออก 4 ภาษา ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมันได้ก่อนที่จะอายุครบ 3 ขวบ เมื่ออายุ 4 ขวบก็เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
และจบปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ในวัยเพียง 15 ปี เคยทำงานร่วมกับองค์การนาซ่า แต่ในปัจจุบันนี้เขาเป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยในเกาหลี