กลยุทธ์การตลาดเป็นสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภค
ซึ่งใน 2-3 ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของการตลาดดิจิทัล ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแบรนด์สินค้าต่างๆ แทบจะก้าวตามไม่ทัน
ดังนั้น ในโลกของการแข่งขันทางการตลาดที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แบรนด์ต่างๆ จำเป็นจะต้องมองข้ามช่องทางการสื่อสารเดิมๆ ไป
เพื่อที่จะนำหน้าคู่แข่งให้ได้ จะมัวแต่ตามกระแสของคนอื่นคงไม่ได้การแน่นอน
วันนี้เราจะมาดูกันว่า 6 เทรนด์การตลาดพลิกโลกที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการตลาดในปี 2559 นี้มีอะไรบ้าง
1 การตลาดเชิงสัมพันธภาพ Relationship Marketing
การใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2559 นี้จำนวนผู้ใช้ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านคน
ทำให้โอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคของแบรนด์ต่างๆ อยู่ใกล้แค่เอื้อม จึงเป็นที่มาของการตลาดเชิงสัมพันธภาพ (Relationship Marketing)
ซึ่งการตลาดเพื่อสร้างความภักดีในหมู่ผู้บริโภคนี้จะต้องอาศัยการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relations Management – CRM)
เป็นเครื่องมือหลักในการทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ เกิดความภักดี มีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นผู้ช่วยขายที่เราไม่ต้องจ่ายเงินเดือน
เพราะลูกค้าที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ย่อมพูดถึงแบรนด์ในแง่ที่ดี และพร้อมที่จะเป็นลูกค้าที่ดีของแบรนด์ตลอดไป
ดังนั้นการตลาดเชิงสัมพันธ์จึงมีส่วนช่วยให้เราสามารถสร้างแบรนด์แข็งแกร่งได้ ซึ่งเราจะได้เห็นกลยุทธ์การตลาดเชิงสัมพันธภาพมากขึ้นในปี 2559 นี้
2 ระบบการตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation
นักการตลาดในปัจจุบันใช้เวลาอย่างน้อย 50% ไปกับการทำคอนเทนต์เพื่อทำการตลาด
บริษัทต่างๆ จึงพยายามคิดค้นวิธีการสร้างระบบการตลาดอัตโนมัติขึ้นมา ซึ่งมูลค่าของระบบการตลาดอัตโนมัติขณะนี้อยู่ที่ 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การสร้างระบบการตลาดอัตโนมัติจำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูลที่มีลักษณะที่เป็น Dynamic และมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
โดยทั่วไปแล้วระบบการตลาดอัตโนมัติจะมุ่งเน้นในการกำหนด Functions สำคัญๆ ด้านการตลาด อาทิ การกำหนด Ranking ของลูกค้า
การจัดการในเรื่องกลุ่มเป้าหมาย การสร้างและบริหารแคมเปญต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาองค์กรธุรกิจทั่วไป
มักไม่ได้นำระบบการตลาดอัตโนมัตินี้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และมักกำหนดและทำการติดตามผลโดยใช้ Manual System
อีกทั้งข้อมูลการตลาดบางส่วนที่อาจอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์มักเป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็น Static คือไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ในปี 2559 นี้ องค์กรธุรกิจที่หันมาใช้ระบบ CRM จะพัฒนาหรือเปลี่ยนรูปแบบฐานข้อมูลจากระบบ Traditional Database
มาเป็นระบบการตลาดอัตโนมัติกันมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
3 การทำการตลาดโดยใช้พิกัดสถานที่เป็นอาวุธ Location-Based Marketing Technology
การทำ Location Based Marketing ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ คือ การทำการตลาด ณ สาขาที่เราต้องการให้ลูกค้าเข้าไปแวะเยี่ยมร้าน
หรือ สาขาของเราเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านแฟชั่น ร้านขายหนังสือ ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือแม้แต่ร้านค้าปลีก
พูดง่ายๆ คือหน้าร้านของเรานั่นแหละ หรือกรณีเราจัดงานอีเวนท์ เราต้องการให้คนไปร่วมงานมากๆ เราก็จะมีกิจกรรมดึงดูดคนไป
โดยจะมีทั้งดารานักแสดง และที่สำคัญคือโปรโมชันจูงใจลูกค้าที่เข้าไป Check-in
ดังนั้น Location-Based Marketing จึงเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนหรือขยับลูกค้าหรือสาวกในโซเชียลมีเดีย
จากแค่มีปฏิสัมพันธ์กับเราให้มาเป็นยอดขาย ดังมีคำกล่าวว่า หากคุณมีโซเชียลมีเดียในมือ คุณจะให้ลูกค้าของคุณ Vote By Click มีการคลิก
หรือ like เรื่องของคุณ Vote By Feet คือเดินทางมาเข้าร้านหรืออีเวนท์คุณ หรือ Vote by money คือเอาเงินมาให้คุณหรือซื้อสินค้าของคุณ
เรียกได้ว่านี่คือการอัพเกรดลูกค้าของคุณตามสเต็ป ซึ่งในปี 2559 นี้ กลยุทธ์นี้จะเข้มข้นขึ้นแน่นอน
4 ความจริงเสมือน Virtual Reality
Virtual Reality (VR) หรือโลกเสมือน คือเทรนด์ใหม่ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในปีนี้ ด้วยศักยภาพในการนำการรับรู้ของผู้ใช้
เข้าไปยังอีกโลกหนึ่งที่ถูกเรนเดอร์ด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกอย่างสวยงามสมจริง เปิดโอกาสให้เราเข้าถึงช่องทางการมีปฏิสัมพันธ์ใหม่ๆ
ทั้งกับคอมพิวเตอร์และผู้ใช้ด้วยกันเอง Business Insider วิเคราะห์ว่าการจัดส่งฮาร์ดแวร์ VR จะสามารถสร้างตลาด
ที่มีมูลค่ามากถึง 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2563 โดยอุปสงค์ของ VR ในระยะแรกจะถูกขับเคลื่อนโดยกำลังซื้อของ
เกมเมอร์คอนโซล โมบาย และพีซีในกลุ่มไฮเอนด์ที่มีงบประมาณมากพอที่จะเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ก่อนใคร
นอกจากนี้ VR ยังมีศักยภาพในการเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเนื้อหา หรือกระทั่งการซื้อสินค้าออนไลน์อีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันได้มีผู้พัฒนาหลายรายกระโจนเข้าสู่สมรภูมิ VR กันอย่างเนืองแน่น
อาทิ Oculus Sony และ Valve/HTC ซึ่งทั้งหมดได้พัฒนาฮาร์ดแวร์เป็นรูปเป็นร่างและพร้อมวางจำหน่ายไม่เกินปีหน้า
ซึ่งน่าจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดแน่นอน
5 เสิร์ชเอ็นจิน ไม่ได้มีแค่ “กูเกิล” เท่านั้น
ปัจจุบันเฟซบุ๊กกำลังพัฒนาเสิร์ชเอ็นจินของตัวเองอยู่ ซึ่งคาดว่าจะมีความสามารถในการค้นหาเหนือกว่า กูเกิล บิง และยาฮู อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความสามารถในการค้นหาที่พัฒนาขึ้นภายในโซเชียลมีเดียเองนี้จะส่งผลให้แบรนด์ได้รับการโปรโมทโดยอัตโนมัติ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีการพัฒนาปุ่ม Buy Buttons และ Payment messaging ในโปรแกรมโซเชียลขึ้นในปี 2559 นี้
ยิ่งจะทำให้โซเชียลมีเดียกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีการรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียวกัน เรียกว่าเป็นคอนเวอร์เจนซ์มากยิ่งขึ้น
ด้วยความสามารถในการค้นหาที่ก้าวล้ำนำสมัย ผนวกกับกรรมวิธีการชำระเงินแบบครบวงจร ผสานเข้ากับอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย
ที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกอย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ จะส่งผลผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ ขณะเดียวกันก็พูดคุยหรือแชทกับเพื่อนๆ
บอกเล่าให้เพื่อนฟังถึงสินค้าที่พวกเขาซื้อ และยังมีการรีวิวสินค้าที่ซื้อไปในแพลตฟอร์มเดียวกัน เรียกว่า ครบวงจรในที่เดียว
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าเสิร์ชเอ็นจินที่ทันสมัยดังกล่าวสามารถส่งมอบประสบการณ์ทางด้านโซเชียลมีเดียที่ครบวงจร
ให้กับผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่ได้ขยายขอบเขตเข้าไปยังธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มตัวกันแล้ว ซึ่งถ้าหากว่านักการตลาดสามารถ
กำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงเสิร์ชเอ็นจินของโซเชียลมีเดียที่ครบเครื่องอย่างนี้ได้ละก็
รับรองได้ว่าแบรนด์ของคุณจะเป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภคได้อย่างไม่ยากเย็น ขอแค่ทำให้กระบวนการซื้อมันง่ายขึ้น
และสร้างเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้ลูกค้ายอมรับ เท่านี้ก็ถือว่าแจ่มแล้ว
6 สู่ยุคอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง The Internet of Things (IoT)
Internet of Things = loT หรือ “อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง” หมายถึง การที่สิ่งต่างๆ ถูกเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต
ทำให้มนุษย์สามารถสั่งการ ควบคุมใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เช่น
การสั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องมือสื่อสาร เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องมือทางการเกษตร
เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม อาคาร บ้านเรือน เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ความฝันของ IoT ที่จะเกิดการเชื่อมต่อของอุปกรณ์เพื่อส่งข้อมูลหรือคุยกันเองได้ เช่น อุปกรณ์ในครัวเรือน ในธุรกิจ
หรือแม้แต่ภาคเกษตรและกสิกรรม ของใช้ส่วนตัวอย่าง กำไลข้อมือ เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งจากรถยนต์ขณะขับเคลื่อน
จะเกิดเป็นจริงได้ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของฮาร์ดแวร์ มาตรฐานด้านการออกแบบและโปรโตรคอลของการทำงาน
มาตรฐานด้านความปลอดภัยของข้อมูล (Security) นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy) และความเป็นเจ้าของข้อมูล
ที่ต้องถูกนำมาใช้ได้จริงในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม ตลอดจนการทำงานระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถมองเห็นและเชื่อมต่อถึงกันได้
เชื่อว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าอุปกรณ์ IoT จะสามารถทำงานได้เสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมที่มีโพรเซสเซอร์ขนาดจิ๋วกำลังสูงอยู่ในตัว
และมีหน่วยความจำ (Memory) ที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะเก็บข้อมูลและโปรเซสข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อยู่ในอุปกรณ์ขนาดเล็กเหล่านี้
และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2559 นี้อย่างแน่นอน ว่าแต่คุณพร้อมที่จะเป็น “ผู้นำ” แล้วหรือยัง
Marketeer Magazine
Dec2015 P.144-145