มนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคนี้ แม้ชีวิตสมบูรณ์ด้วยวัตถุ แต่ความสุขในหัวใจกลับเหือดหาย บางคนมุ่งดิ้นรนแสวงหาความสุขนั้น จนพลาดพลั้งตกหลุมความทุกข์ ชักนำชีวิตตนเจริญงอกงามในทางเสื่อม บ้างก็วิ่งไล่ล่าอนาคตที่แขวนอยู่บนความไม่แน่นอน จนหลงลืมรากเหง้าของตนเอง กลายเป็นต้นไม้พันธุ์ที่ปลูกในเรือนเพาะชำของนักวิทยาศาสตร์ รากลอยเหนือผืนดิน วันนี้เราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนส่วนใหญ่ในศตวรรษนี้ รายได้สูง แต่กตัญญูต่ำ ความรู้สูง แต่คุณธรรมต่ำ นั่นเพราะเรายอมให้ความลุ่มหลงมัวเมาควบคุมบังเหียนชีวิต หัวใจตกเป็นทาสของ
ความโลภ พอกพูนจนโลกใบนี้รุ่มร้อนไปด้วยไฟแห่งกิเลส ตาลปัตรลุกลามเข้าสู่ยุค ‘เสื่อม’ สาเหตุสำคัญที่สุดซึ่งทำให้เป็นเช่นนี้ เพราะมนุษย์มองข้าม ‘ความกตัญญู’ ซึ่งเป็นรากฐานของคุณธรรมแห่งความดีทั้งปวง
ในงานเสวนาเปิดตัวหนังสือ ‘ที่สุดแห่งความดี’ ที่หอประชุมพุทธคยา สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีเมื่อวันก่อน พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวว่า “ต้นแบบที่ดีที่สุดของคนไทยคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในฐานะนักปกครองทรงเป็นธรรมิกมหาราชา แต่ในฐานะปุถุชนคนหนึ่ง ทรงประสบความสำเร็จในการเป็นลูกกตัญญู เห็นได้จากการที่ทรงแบ่งเวลาจากพระราชกรณียกิจอันมากมายไปร่วมโต๊ะเสวยกับพระบรมราชชนนี อย่างน้อย 1 วัน ใน 1 สัปดาห์ ทุกวันนี้สังคมไทยโชคดีที่มีพระเจ้าอยู่หัว แต่โชคร้ายคือ เรามองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน ดังนั้น ถ้าเราอยากเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวให้ชาวโลกชื่นชมยินดี วิธีหนึ่งซึ่งเป็นรูปธรรมคือ ขอให้เราทุกคนเป็นลูกกตัญญญู เพราะหากเรามีความกตัญญูญูแล้ว จะไม่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก ไม่ทำให้แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยคอรัปชั่น ไม่ทำให้โลกนี้แย่ลง และแน่นอนว่าน้ำจะไม่ท่วมบ้านท่วมเมือง เพราะเราจะไม่ทำลายสมดุลในธรรมชาติ เรียกได้ว่า ความกตัญญูเพียงอย่างเดียวสามารถกู้โลกทั้งใบก็ยังได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วพ่อหลวงของเราจะทรงยินดีปรีดาเป็นที่สุด”
อีกท่านที่ได้ร่วมเสวนาในเวทีเดียวกัน คือ ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ อดีตวิศวกรนาซ่า ผู้ดำเนินชีวิตด้วยวิถีเศรษฐกิจพอเพียง ได้กล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวสั่งสอน ผมได้นำมาใช้ในชีวิตทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ในทางธรรม เมื่อครั้งงานเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา ผมได้บวชถวายพระองค์ท่าน เพราะตั้งใจว่าจะปฏิบัติธรรมตามพระองค์ ส่วนทางโลก ก็คิดว่าผมเรียนจบวิศวกรรมเหมือนพระองค์ แต่พระองค์ท่านปลูกต้นไม้ ทำเกษตรกรรมได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ ก็เลยไปซื้อที่ดิน 4 ไร่ไว้ที่ปากช่อง ทำตามทุกอย่างที่พระองค์สอน ทั้งทำสวน เลี้ยงสัตว์ เวลาไปบรรยายก็จะเชิญชวนให้องค์กรดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งก็มีหลายบริษัทนำไปทำตาม ผมคิดเสมอว่าพ่อเหนื่อยขนาดนี้ มีภาพพระเสโทหยดที่ปลายพระนาสิก แล้วเราจะเหนื่อยน้อยกว่าท่านได้อย่างไร อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนทำได้คือ มีความกตัญญูต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และบุพการี”
ในพระพุทธศาสนามีหลักการวัดคนดีเอาไว้อย่างชัดเจนผ่านพุทธภาษิตว่า ‘ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี’ หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงเรื่องราวของมหาบุรุษยอดกตัญญูในสมัยพุทธกาล คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสารีบุตร ผสานความรักระหว่างแม่กับลูก ของท่านพุทธทาสและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำมาซึ่งความงดงามของลูกกตัญญูและการเป็นต้นแบบของ ‘แรงบันดาลใจแห่งความดี’ เชื่อมร้อยปลุกพลังให้คนไทยลุกขึ้นมา ‘ทำดี’ เพื่อประโยชน์สุขของตนและของสังคมไทย โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมทบทุนมูลนิธิภูมิพโลภิกขุ ในพระราชูปถัมภ์และมูลนิธิธรรมดี
ผมขอเชิญชวนคนไทยทุกคนให้ลุกขึ้นมา ‘ทำดี’ ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ตอบแทนบุญคุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พ่อแม่ และทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ที่ทำให้เราดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข และร่วมกันจุดคบเพลิง ‘ที่สุดแห่งความดี’ นี้ ให้ส่องสว่างลุกโชนในหัวใจตัวเอง เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แห่งความดีที่จะสถิตในโลกนี้ตลอดกาล เพื่อไปสู่บทสรุปที่ว่า ร้อยความดี ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง และ ดอกไม้ที่หอมที่สุดสำหรับพ่อแม่ คือ ดอกไม้ที่ชื่อว่า ลูกกตัญญู
ตราบจนลมหายใจสุดท้ายบนโลกใบนี้ ได้สัญญากับตัวเองว่า จะขอเป็นดอกไม้ที่หอมที่สุดสำหรับแม่ เพื่อให้แม่ได้มีความสุขกับสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของแม่คือลูกและเป็นลูกที่กตัญญู ที่แม่บอกเสมอว่าสิ่งนี้สำคัญกว่าเพชรนิลจินดาซึ่งแม่ไม่ต้องการเลย ขอแค่ให้ลูกของแม่เป็นคนดีต่อแม่และต่อทุกคนก็เพียงพอแล้วสำหรับแม่.
ณ ปัจจุบันก็ภูมิใจในตัวเองระดับนึงแล้วค่ะแม้จะอยู่ห่างกัน แต่ทุกอย่างที่เป็นความสุขในหัวใจแม่ ไม่เคยละเลยที่จะทำให้ด้วยความเต็มใจ ..ขอแชร์นะคะ
เป็นบทความที่อ่านแล้วซาบซึ้งมากครับ ลูกๆ ทุกคนควรปลูกดอกไม้แห่งความกตัญญูในใจกันทุกท่านนะครับ ^ ^