เดือนตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา โลกของเราเพิ่งฉลองการมีประชากรคนที่เจ็ดพันล้าน และภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะทะยานขึ้นสู่หลักเก้าพันล้านคน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดาหน้ากันถล่มแทบทุกจุดบนพื้นพิภพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งพายุทอร์นาโด ไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เรียกว่า ธรรมชาติกำลังจัดหนักและจัดเต็ม!
มาดูในบ้านเรา วิกฤตน้ำท่วมที่เกิดในช่วงฤดูมรสุมปี 2554 ของไทย ส่งผลกระทบรุนแรงในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่โขง น้ำท่วมมาแล้วกว่า 4 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ระบุว่ามีพื้นที่ประสบอุทกภัยทั้งสิ้น 64 จังหวัด เสียชีวิต 602 ราย สูญหาย 2 ราย ประชาชนกว่า 2 ล้านชีวิตได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องไร้ที่อยู่อาศัย ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค อาหารและน้ำดื่มสะอาด ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสจากโจรขโมย น้ำท่วมขังที่กำลังเริ่มเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็น เต็มไปด้วยเชื้อโรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
วิกฤตมหาอุทกภัยครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ในแง่ของปริมาณน้ำและจำนวนคนที่ได้รับผลกระทบ ประเมินความเสียหายอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท
สถานการณ์น้ำท่วมไม่ได้สร้างความเดือดร้อนเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ในยุโรป อเมริกาและเอเชียด้วย ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาได้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันถึง 10 วัน บริเวณชายฝั่งและซีกตะวันออกของรัฐโอริสสาในอินเดีย ทำให้หมู่บ้าน 28,000 แห่งได้รับผลกระทบ แม้ว่าตอนนี้ฝนจะหยุดตกแล้วแต่แม่น้ำมหานทียังคงอยู่เหนือระดับอันตราย
ที่ปากีสถาน นายกรัฐมนตรียูซุฟ ราซากิลานี ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ หลังจากที่สถานการณ์น้ำท่วมทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 141 คน และต้องไร้ที่อยู่อีกกว่า 4 ล้านคนในจังหวัดซินด์ทางตอนใต้ น้ำท่วมยังได้ทำลายต้นฝ้าย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศเสียหายไปประมาณ 13%
ส่วนที่สหรัฐอเมริกา ผลกระทบจากพายุโซนร้อนลี ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 9 ราย และประชาชนอีก 130,000 คนในรัฐเพนซิลวาเนีย นิวยอร์ก และแมริแลนด์ ต้องอพยพหนีน้ำท่วม โดยผู้ว่าการรัฐเพนซิลวาเนียยังได้ออกคำเตือน เนื่องจากน้ำท่วมโรงงานกำจัดของเสียถึง 10 แห่ง ซึ่งอาจมีขยะสารพิษปนเปื้อนออกมาได้
และที่เยอรมนี ได้เกิดพายุทอร์นาโดและฝนตกหนักในรัฐทางตะวันออกและทางใต้ ทำให้อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายจากลูกเห็บ และน้ำท่วมชั้นใต้ดินของบ้านหลายหลัง
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิกฤตมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลก!!!!
จะมีใครสงสัยไหมว่า ทำไมเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติจึงเกิดบ่อยครั้งขึ้น รุนแรงขึ้น และเกิดในคราวเดียวกันทั่วโลก ก่อความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแทบประเมินค่าไม่ได้
ดร. เมล กิลล์ ได้เขียนไว้ชัดเจนในหนังสือ ‘สุดยอดเดอะซีเคร็ต’ หรือ ‘ความลับเหนือโลก’ ว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กัน ตั้งแต่อนุภาคในอะตอมไปถึงจักรวาล ทุกอย่างโยงใยถึงกัน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เสมือนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่ฟันเฟืองน้อยใหญ่สัมผัสกันหมดทั้งระบบ รวมถึงทุกสรรพสิ่งเกิดเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยก
สรรพสิ่งต่างๆ ในจักรวาลล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ไม่ใช่อยู่โดดๆ หรืออยู่แยกโดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน กาแล็กซี ดวงดาว หลุมดำ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก ไปจนถึงอณู ปรมาณู และพลังงานย่อมสัมพันธ์กัน สสารซึ่งเป็นอนินทรียะเป็นต้นกำเนิดและเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอินทรียสารและสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตต่างๆ มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน ใช้รหัสชีวิตอย่างเดียวกัน และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ดังนั้นกระแสความคิด อารมณ์หรือกระแสจิตที่เราส่งออกไป มีผลต่อสิ่งที่สะท้อนกลับเข้ามาหาเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับน้ำในโลกนี้ซึ่งมีอยู่ประมาณ 70% ต่างได้รับผลกระทบและแรงสั่นสะเทือนโดยตรงจากมนุษย์เจ็ดพันล้านคนในปัจจุบัน โดยมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 70% ในร่างกาย จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างเหลือเชื่อ!
นายแพทย์ ดร. มาซารุ อิโมโตะ หนึ่งในผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ได้ทำการวิจัยโมเลกุลของน้ำ และพบว่า พลังงานการสั่นสะเทือนในมนุษย์ ซึ่งในร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 70% พบว่า ความคิด คำพูด แนวคิด และดนตรี มีผลให้ผลึกน้ำเรียงตัวงดงาม ตรงกันข้าม ถ้าเราส่งความคิด คำพูดที่ไม่ดีออกไป ผลึกน้ำนั้นก็จะยุ่งเหยิง
“คำพูด” นั้นส่งผลต่อชีวิตเรามาก ชาวญี่ปุ่นจึงเชื่อว่า มีวิญญาณที่ชื่อ โคโตดะมะ ซึ่งมีแรงสั่นสะเทือนของคำพูดอยู่ในตัว เคยมีการทดลองวัดการสั่นสะเทือนทางอารมณ์ในร่างกายคนเราโดยโครงการนี้ใช้น้ำเป็นเครื่องมือศึกษาการสั่นสะเทือนทางอารมณ์โดยใช้ตรรกะว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก
ดร. อิโมโตะเปิดดนตรีแบบต่างๆ ให้น้ำฟัง แล้วถ่ายผลึกน้ำแข็งของน้ำเหล่านั้น น้ำที่ “ฟัง” เพลงของบีโธเฟ่นและโมซาร์ทตกผลึกเป็นรูปร่างสวย ส่วนน้ำที่ฟังเพลงร็อคอึกทึกครึกโครมกลับตกผลึกเป็นชิ้นเล็กๆ ไม่เป็นรูปเป็นร่าง
ดร. อิโมโตะทดลองต่อไปโดยเปลี่ยนจากเสียงดนตรีเป็นคำพูด ผลที่ได้ก็คล้ายคลึงกัน คือ ขวดน้ำที่เปิดเสียงพูดซึ่งมีความถี่สูงให้ฟัง เช่น “ขอบคุณ” และ “ขอแสดงความซาบซึ้ง” จะตกผลึกเป็นรูปเป็นร่างสวยงาม ส่วนน้ำขวดที่ฟังคำพูดความถี่ต่ำ เช่น “โง่” และ “ไอ้งั่ง” ผลึกกลับไม่เป็นรูปเป็นร่าง หรือแทบไม่ตกผลึกเลย
เขาลองเปลี่ยนเป็นภาษาอื่นๆ ดูอีกด้วยความใคร่รู้ ทั้งภาษาจีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน และเกาหลี ก็ได้ผลเช่นเดิม นั่นคือ คำพูดที่สั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงจะทำให้น้ำตกผลึกเป็นรูปทรง “แข็งแรง” สวยงาม ขณะที่คำพูดร้ายๆ หรือมีความเกลียดชังจะทำให้ผลึกน้ำไม่เป็นรูปเป็นร่าง และ “อ่อนแอ”
เขาสรุปว่า คำพูดส่งผลต่อมนุษย์เราอย่างยิ่ง คำพูดดีๆ ซึ่งมีความถี่สูงจะช่วยกระตุ้นให้ผู้คนร่าเริงแจ่มใส ขณะที่คำพูดไม่ดีซึ่งมีความถี่ต่ำก็มีพลังในทางทำร้าย ทำลายล้าง เมื่อองค์ประกอบในตัวเราทุกคนมาจากน้ำเป็นส่วนใหญ่ ก็คงจะมองออกแล้วว่า ทำไมคำพูดจึงส่งผลได้มาก ขนาดนั้น
“ถ้านำคำพูดต่างคลื่นความถี่มาอยู่ด้วยกัน ก็จะกลายเป็นพลังทำลายล้างชีวิต ไม่ให้ก้าวไปสู่สิ่งที่ดีงามได้” นี่คือคำกล่าวสรุปของ ดร. มาซารุ อิโมโตะ
ผลการกระทำที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน และกระทำต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ สัตว์ป่า ต้นไม้ แม่น้ำ ลำคลอง สิ่งแวดล้อม ทะเล ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ กล่าวโดยรวมคือ มนุษย์ทั้งโลกได้สั่งสมแรงสั่นสะเทือนที่ไม่ดีมาเป็นเวลายาวนาน คือ มุ่งไปในทางทำลายล้างโลกมากกว่าจะมีการสร้างสรรค์ให้โลกนี้สวยงามน่าอยู่สำหรับเราทุกคน จึงเป็นเหตุให้แรงสั่นสะเทือนที่สั่งสมกันมากมายนั้น ส่งผลลบกลับมา คือ กลับมาทำลายล้างเราอย่างที่ปรากฏไปทั่วโลก
แต่ผมเชื่อว่ายังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาคิดดี พูดดี ทำดี มีความสั่นสะเทือนด้วยอารมณ์ที่ดีและเป็นบุญกุศล ใช้ชีวิตบนเส้นทางแห่งสัมมาวาจาและสัมมามาร์เก็ตติ้ง เมื่อนั้น ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะจัดหนัก จัดเต็ม คงจะปราณีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อย่างพวกเราบ้าง
อยากให้ ‘จักรวาลจัดเรียง’ อย่างไร เริ่มต้น ‘จัดการใจ’ ของเราอย่างนั้น.
เป็นบทความที่ดีมาก ขอบคุณเจ้าของเวบที่นำมาโพสให้อ่านครับ ^ ^