เป็นปีที่สี่กับการเดินสายเยี่ยมเยาวชนในสถานพินิจ ให้ความรักและกำลังใจเด็กๆ ที่ก้าวพลาดไปในชีวิต และเป็นอีกหลายๆ ครั้งกับการเดินทางลงไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้กำลังใจทหารหาญ ตำรวจ แพทย์ พยาบาล ครู และคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งยังคงมีความระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิตกันอย่างสูง
มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าคล้ายกันอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการไปเยี่ยมเยาวชนที่ก้าวพลาด หรือการเดินทางลงไปใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สิ่งนั้น คือ ความรักความห่วงใยที่เหือดหายไปเรื่อยๆ
หากเรามีความรักและห่วงใยพี่น้องคนไทยใน 3 จังหวัด 4 อำเภอชายแดนภาคใต้ และคิดว่าพวกเขา คือ ญาติพี่น้องของเรา บุคคลที่เราเห็นบาดเจ็บเสียชีวิตในแต่ละวันนั้น คือ คนที่เรารักและห่วงใย ผมเชื่อว่าพลังความรักที่คนไทยทั้งประเทศมีให้จะช่วยเยียวยาผ่อนนักเป็นเบาได้
เพราะความรัก คือ พลังที่อยู่เบื้องหลังทุกปาฏิหาริย์
สองสัปดาห์ก่อน ผมลงไปปัตตานีอีกครั้ง ทั้งที่ผู้เชิญบอกเกรงใจมาก รบกวนผมลงไปบ่อยๆ แต่เวลาไปเชิญคนอื่น ก็ไม่มีใครกล้าลงไป ด้วยความกลัวเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน จึงต้องกลับมาเชิญผม ซึ่งผมก็ตกลงทุกครั้งที่ได้รับคำเชิญให้ลงไป 3 จังหวัด เพราะมีความเป็นห่วงพี่น้องคนไทยทุกคน และผมมีความเชื่อว่า ทุกชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวังและกำลังใจ
หมอใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลายชีวิตจะไม่กลายเป็นศพ หากคนไทยยังรักกันและช่วยเหลือกัน มีกรณีน่าสะเทือนใจของพ่อลูกคู่หนึ่ง พ่อขี่มอเตอร์ไซค์มีลูกสาวซ้อนท้าย ถูกลอบดักยิง พ่อกระเด็นหล่นลงไปในคูน้ำข้างถนน ลูกสาวตัวเล็กๆ ไม่สามารถดึงพ่อขึ้นมาตามลำพังได้ ตะโกนร้องสุดเสียงให้คนช่วย แต่ไม่มีใครอาสาเข้ามา ด้วยทุกคนรักตัวกลัวตาย กลัวโดนลูกหลงไปด้วย รีบออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุนั้น
ลูกสาวก็พยายามดึงพ่อขึ้นมาจากคูน้ำ และตะโกนสุดเสียง ปรากฏช่วยชีวิตพ่อไว้ไม่ทัน พ่อต้องเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา ผมมีลางสังหรณ์ในเรื่องเช่นนี้ นับแต่เมื่อหลายปีก่อนที่เกิดความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้ขอเครื่อง C130 จากทหารอากาศขนเสบียงและอาสาสมัครนับร้อยคนจากกรุงเทพฯ ลงมา 3 จังหวัดใต้ ระหว่างที่เดินทางอยู่ท่ามกลางการอารักขาของทหารหลายหน่วย มีแฟนคลับส่งข้อความมาถามทางทวิตเตอร์ ว่าเหตุการณ์รุนแรงเหมือนกับที่เห็นในข่าวทุกวันหรือไม่
ผมจำได้ถึงคำตอบเมื่อหลายปีก่อน เพราะเป็นคำตอบที่ออกจากใจจึงจำได้แม่นยำ ผมตอบว่า การที่คนไทยด้วยกัน ไม่เหลียวแล ไม่ห่วงใยพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับผม นี่คือเหตุการณ์ที่รุนแรง และจะไม่จบลงโดยง่ายแน่นอน หากเรายังมีความคิดว่า ตัวใครตัวมัน ธุระไม่ใช่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่ผมได้ตอบไปหลายปีก่อนนั้น ก็เป็นจริงจวบจนปัจจุบัน
จากภาคใต้มาสู่สถานพินิจ ปีที่สี่ที่ผมตระเวนเยี่ยมน้องๆ เยาวชนภายใต้ชื่อโครงการ ‘ทูตความดี รักนี้ให้น้อง’ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและปลุกพลังให้เยาวชนของเราลุกขึ้นมาสู้ต่อไป หลายท่านคงไม่ทราบว่า จากสถิติของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนระบุว่า ในปีที่ผ่านมามีเด็กและเยาวชนกระทำความผิดเป็นจำนวนรวมถึง 35,049 คดี โดยแบ่งเป็นเยาวชนชาย 32,260 คดี และเยาวชนหญิง 2,789 คดี ในจำนวนนี้ 5,082 คดีกระทำโดยเยาวชนอายุระหว่าง 10-15 ปี อีก 29,967 คดี เกิดจากเยาวชนอายุ 15-18 ปี ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ สาเหตุที่เด็กและเยาวชนกระทำผิดเกิดจากการคบเพื่อนสูงถึง 15,769 คดี
ผมยอมรับว่ามาเยี่ยมน้องๆ แล้วสะเทือนใจ ลูกหลานของเราซึ่งอายุส่วนใหญ่ไม่ถึง 20 ปี ทั้งหญิงและชาย ควรมีชีวิตที่ได้ ได้รับการศึกษา มีอิสรภาพ มีอนาคตและความหวังที่สดใส แต่กลับต้องมาต้องโทษด้วยข้อหายาเสพติด ลักทรัพย์ หรือหลายคนโดนคดีฆ่าผู้อื่น ทั้งที่หน้าตาลูกหลานเหล่านั้นดูน่ารัก อ่อนโยน แม้แววตาจะซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
ปัญหาเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่มักเกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในครอบครัวและโรงเรียน เพราะขาดการสื่อสารพูดคุยกันด้วยความรัก ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน ผมขอวิงวอนผู้ใหญ่ทุกท่านโปรดให้ความรัก ความอบอุ่นอย่างที่สุดกับลูกหลานของเรา รวมถึงเด็กๆ ที่อยู่ในสายตาเราทั้งหมด โปรดให้เวลากับพวกเขาบ้าง เพราะเด็กเหล่านี้เมื่อไม่มีผู้ใหญ่ให้ความสนใจ แน่นอน เขาจะเข้ากลุ่มกันเอง ความผิดพลาดตามประสาวัยรุ่นเพียงชั่ววูบด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
สิ่งหนึ่งที่ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกองค์กร ควรตั้งขึ้นมา นั่นคือ ชมรมชมกันเอง ให้พูดจากันด้วยความรัก ความชื่นชมจากหัวใจของเรา เปิดโอกาส เปิดเวทีให้ทุกคนได้มีที่ยืนอยู่ในความสว่าง แสดงออกด้วยมุทิตาจิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้เสียเงินทองแต่อย่างใด แต่ผลลัพธ์ที่กลับมายิ่งใหญ่มหาศาล โปรดใส่โปรแกรมใหม่ไว้ในสมอง ต่อไปนี้ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ชม .. ชื่นชมกันมากๆ ให้ความรักกันมาก ..
ผมขอนะครับ ขอความรักให้ลูกหลานเราทุกคน.
ที่มา : Post Today ดนัย จันทร์เจ้าฉาย