เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พูดถึงแต่เรื่องประเทศจีน อยากไปเที่ยวเมืองจีน เรียนภาษาจีน ทำธุรกิจในจีน ด้วยความที่เป็นประเทศใหญ่มีประชากรมากถึง 1,300 ล้านคน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จีนจะบริโภคสินค้ามากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ประกอบกับจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมและวัฒนธรรมเก่าแก่นับพันๆ ปี และมีหลายสิ่งอย่างที่น่าสนใจ น่าค้นหา จึงเป็นอะไรที่ใครต่อใครก็อยากโดดเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วย
ปัจจุบันภาพลักษณ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเปลี่ยนไปมาก ใครที่คิดว่า คนจีนยังคงใส่เสื้อคอจีน กางเกงขาก๊วยอยู่ ถือว่าเชย เพราะสภาพความเป็นอยู่ของชาวจีนดีขึ้น พฤติกรรมการบริโภคก็เปลี่ยนไป มีการเลือกใช้สินค้าที่มีระดับและคุณภาพดีขึ้น สนใจเรื่องความสวยความงาม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ทันสมัย เครื่องสำอาง รวมถึงกิจกรรมสันทนาการมากขึ้น
จะว่าไป จีน ไม่ใช่จะเป็นเฉพาะพี่เอื้อยใหญ่ของเอเชียเท่านั้น ประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ทั่วโลกยังพากันหวาดผวา เนื่องจากระบบเศรษฐกิจของจีนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งส่งอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจและการเมืองของโลก
รวมทั้งเป้าหมายสู่อนาคต ไม่ใช่เพียงด้านการผลิตอย่างเดียว แต่จะก้าวสู่การสร้างเทคโนโลยีที่มีความพร้อมและมีศักยภาพ โดยจีนมีความต้องการเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี การเร่งสร้างมิติต่างๆ ทั้งในด้านการผลิต การค้า การตลาด รวมถึงการจัดการ เชิงนโยบายของภาครัฐ โดยเฉพาะกับการมุ่งเน้นในการสร้างเสริมความรู้ และเพิ่มขีดความสามารถในการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ในปี 2552 การส่งออกของจีนพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกมีมูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้าน (Trillion) ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่เยอรมนีครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2546 และในปี 2553 จีนได้รั้งแชมป์ผู้ส่งออกมากเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง และมีการส่งออกคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 32% เมื่อเทียบกับปี 2552 มูลค่าการค้าต่างประเทศอันประกอบด้วยการส่งออกและการนำเข้าร่วมกันของจีนสูงถึง 2.97 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2552 กว่า 34%
ในด้านการนำเข้านั้น จีนพี่เอื้อยใหญ่ก็รั้งแชมป์ผู้นำเข้ามากเป็นอันดับ 2 ของโลกติดต่อกันมาหลายปี โดยในปี 2553 ที่ผ่านมา จีนนำเข้าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเฉพาะสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดยการนำเข้าของจีนได้ขยายตัวประมาณ 38%
การส่งออกที่พุ่งทะยานของจีนได้ส่งผลให้เกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Surplus) คิดเป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 307,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2553 อันเป็นการเกินดุลที่เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น โดยที่ส่วนใหญ่ของการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดดังกล่าว ก็มาจากการเกินดุลการค้าคือส่งออกมากกว่านำเข้านั่นเอง
หลังจากเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) ในวันที่ 11 ธันวาคม 2544 เป็นต้นมา ภาษีนำเข้าของจีนก็ได้ลดลงตามลำดับ โดยลดจากที่เคยเก็บเฉลี่ย 15.3% เหลือประมาณ 9.8% ในปัจจุบัน
หลังจากที่ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์การข้างต้น มูลค่าการส่งออกได้ขยายตัว 4.9 เท่าตัว ขณะที่การนำเข้าได้ขยายตัว 4.7 เท่าตัว (ข้อมูลจากการให้สัมภาษณ์ของนายเฉินเต๋อหมิน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีนแก่ChinaDaily 29 มกราคม 2554) การขยายตัวของการนำเข้าของจีนดังกล่าว ได้ส่งผลให้พี่เอื้อยใหญ่นำเข้าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออกทั่วโลกในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่จีนได้รับฉายาว่าเป็นโรงงานโลก (The Global Workshop) คือได้กลายเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น “เป้าจีน” ก็ดูจะเด่นชัด “เข้าตา” ประชาคมโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จนถูกจับตาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้นแหลมคมยิ่งขึ้น เฉกเช่นเดียวกับ “โรงงานโลก” ในอดีต
เพื่อลดทอนการตกเป็นเป้าการถูกวิพากษ์วิจารณ์เข้าทำนอง “ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว” ผู้บริหารของจีนจึงได้ประกาศก้องจากที่ประชุม “World Economic Forum” ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปลายเดือนมกราคม 2554 ที่ผ่านมาว่า จีนจะหาทางขยายการนำเข้าจากเดิม
ในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ ที่ตรงกับช่วงการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ของจีน (พ.ศ. 2554-2558) จีนได้ตั้งเป้าไว้ว่า ภายในประมาณครึ่งทศวรรษข้างหน้านี้ ตนจะขยายการนำเข้าจากที่มีมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกประมาณหนึ่งเท่าตัว หรือเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
โดยที่กลยุทธ์ทางการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน เพื่อให้การนำเข้ามีโอกาสขยายตัว นับเท่าตัวดังกล่าว ก็คือความพยายามในการขยายฐานอุปสงค์ (Demand base) ภายในประเทศ เช่น การเพิ่มโอกาสการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Consumption) แทนที่การมัวพึ่งการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา
มาดูตัวเลขการค้าระหว่างไทย-จีนในเดือนมิถุนายน 2554 จะพบว่าพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 5,017.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหนือเดือนมีนาคม 2554 ที่มีมูลค่า 5,011.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเนื่องจากยอดการส่งออกที่ยังคงเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 26.6 จากระดับ ร้อยละ 21.2 ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน สวนทางทิศทางการนำเข้าโดยรวมของจีนจากตลาดโลกในเดือนมิถุนายน 2554 ที่เติบโตชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสินค้าที่จีนนำเข้าจากไทยด้วยอัตราเร่งยังคงเป็นกลุ่มสินค้าเกษตรที่จีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนหลังจากที่พื้นที่เพาะปลูกของจีนในหลายมณฑลได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรของไทยไปยังจีนในเดือนมิถุนายน 2554 ขยายตัวกว่า 1 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าเกษตรที่เติบโตถึงร้อยละ 40.2 ยังผลให้การส่งออกของไทยไปจีนในช่วงครึ่งแรกปีนี้ เติบโตดีเกินคาดในระดับร้อยละ 23.8
แนวโน้มการส่งออกไปจีนปีนี้ยังคงมีทิศทางการเติบโตต่อเนื่องและน่าจะขึ้นสู่ตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทย (ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนหันมาให้ความสนใจประเทศจีนอย่างจริงจังมากขึ้น
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้น จีน จึงกลายเป็นประเทศที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต้องการเข้าไปแสวงหาโอกาส และเป็นโชคดีของประเทศไทยที่สินค้านำเข้าหลายอย่างของจีน เป็นสินค้าที่ไทยสามารถผลิตและส่งออกไปขายได้ การเปิดตลาดในประเทศจีนก็ไม่ได้ยุ่งยาก อาจจะมีปัญหาบ้างในเรื่องภาษาและการสื่อสาร แต่หากสนใจจะทำจริงจังก็มีตัวช่วยนะครับ โดยเกาะกลุ่มไปกับผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำการค้ากับจีนมาก่อน
เราหาประสบการณ์กับผู้รู้ก่อน ปีกกล้าขาแข็งแล้วค่อยบินเดี่ยว ซึ่งในปีหน้านี้ ทางจีนจะมีงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับอาหาร ชื่องาน China Guangzhou International Food & Beverage Trade Fair 2012 ในเดือนพฤศจิกายน 2555 ใครที่ต้องการจะเกาะกลุ่มกันไปขายของที่เมืองจีน งานนี้เป็นงานหนึ่งที่น่าสนใจนะครับ ข้อมูลเพิ่มเติม www.gzfoodshow.com เราจะได้รวยเป็นเศรษฐีกันเหมือนคนจีนไงครับ