ปีใหม่ชวนไปสังเวชนียสถาน : คอลัมน์ ศิลาในน้ำเชี่ยว โดย… ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ปีใหม่นี้ขอส่งความสุขแด่ท่านผู้อ่านด้วยเรื่องราวดีๆ เช่นเคย ครั้งนี้จะขอเล่าเกี่ยวกับ สังเวชนียสถาน 4 ตำบลที่ตั้งอยู่ในประเทศอินเดียและเนปาล ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านคงจะรู้จักกันดี และขอถือโอกาสเชิญชวนไปกราบสักการะ เพราะการจาริกแสวงบุญ “ตามรอยพระพุทธบาทยาตราในดินแดนพุทธภูมิ” นั้น ถือว่าเป็นบุญกุศลสูงส่งในชีวิตแห่งความเป็นพุทธบริษัทที่พึงยึดถือและปฏิบัติให้ได้อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งในชีวิต
หนังสือ “สู่แดนพุทธองค์” โดยท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทโธ) ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ สาธารณรัฐอินเดีย ได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสังเวชนียสถาน 4 ตำบลไว้โดยละเอียด แต่จะขอหยิบยกมาเล่าพอสังเขป
“…ผู้เดินทางมาบูชากราบไหว้พระพุทธเจ้าตามพุทธสถานในพุทธภูมิ ล้วนมากันด้วยพลังศรัทธาอันเกิดจากพุทธวจนะที่ทรงชี้นำทาง เหมือนว่าเชื้อเชิญหรือกวักพระหัตถ์ให้โอกาสทองมาได้รับสิ่งดีๆ แก่ชีวิต โดยนำสังเวชนียสถาน 4 แห่งมาเป็นสื่อในการเข้าถึงพระรัตนตรัย ตามที่พระอานนท์ทูลถามก่อนเสด็จปรินิพพาน ณ ที่สาลวโนทยานในกรุงกุสินาราว่า
“เมื่อกาลก่อน พุทธบริษัทในทิศทั้งหลายต่างพากันมาเพื่อเฝ้าพระตถาคต ย่อมได้เห็นได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ใหญ่เจริญใจเหล่านั้น ก็แต่ว่าเมื่อกาลล่วงไปแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ใหญ่เจริญใจเหล่านั้นอีก”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน 4 แห่ง เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ด้วยระลึกว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้ 1 พระตถาคตตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ 1 พระตถาคตยังธรรมจักรให้เป็นไปแล้วในที่นี้ 1 พระตถาคตเสด็จปรินิพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุในที่นี้ 1 ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใด เที่ยวจาริกไปยังเจติยสถานเหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายมลายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”
นี่เป็นคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนในมหาปรินิพพานสูตร ให้วิถีแก่เราได้เข้าใกล้พระองค์ ทั้งกายและใจ เหมือนอย่างเมื่อทรงยังดำรงพระชนม์อยู่ โดยอาศัยสังเวชนียสถานเป็นสื่อนำเข้าถึง สิ่งควรที่จะดู ควรจะเห็น ควรให้เกิดสังเวช แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย และพึงนมัสการด้วยความเคารพต่อที่ประสูติ ตรัสรู้ ประทานปฐมเทศนาและปรินิพพาน…”
สังเวชนียสถานแห่งที่ 1 ชาตสถาน คือ สถานที่ประสูติแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย อยู่ห่างจากชายแดนอินเดีย-เนปาลประมาณ 32 กิโลเมตร สังเวชนียสถานแห่งนี้ภาษาทางราชการเรียกว่า “ลุมมินเด” แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังเรียกว่า “ลุมพินี”
สังเวชนียสถานแห่งที่ 2 อภิสัมพุทธสถาน คือ สถานที่ตรัสรู้ แต่เดิมในสมัยพุทธกาลคือตำบล อุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ ซึ่งมีเมืองราชคฤห์ เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้นี้เรียก ตำบลพุทธคยา ขึ้นกับจังหวัดคยา รัฐพิหาร อยู่ห่างจากจังหวัดคยา 12 กิโลเมตร มีเมืองหลวงชื่อ ปัฎนะ หรือ ปัฎนา หรือชื่อเดิมว่า ปาฎลีบุตร
ส่วน สังเวชนียสถานแห่งที่ 3 ธัมมจักกัปปวัตตนสถาน คือ สถานที่แสดงปฐมเทศนา หรือสถานที่พระตถาคตเจ้าทรงยังพระอนุตรธัมจักให้เป็นไป สถานที่นี้อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียก สารนาถ ห่างจากเมืองประมาณ 8 กิโลเมตร ซึ่งเมืองพาราณสีนี้อยู่ห่างจากเมืองพุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 200 กิโลเมตร
สุดท้าย สังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ปรินิพพุตสถาน คือ สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุปา ทิเสสนิพพาน ธาตุ ดับไม่มีส่วนเหลือ คือทั้งกิเลส ทั้งเบญจขันธ์ดับหมด ตามปกติพระอรหันต์ทั่วๆ ไปจะนิพพาน 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกนั้นเป็นการดับกิเลส ส่วนเบญจขันธ์ยังอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพานเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่จิตเข้าสู่แดนพระนิพพานเท่านั้น เป็นจิตที่สะอาด ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์แล้ว ดังเช่นพระพุทธเจ้า นิพพานครั้งแรกนี้เมื่อวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ส่วนนิพพานครั้งที่ 2 ก็คือ อนุปาทิเสสนิพาน ดังได้กล่าวแล้วนั้นเอง
สถานที่นิพพานที่พุทธประวัติระบุว่า สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันมีสถูปและวิหาร เป็นสัญลักษณ์ เป็นอุทยานที่ได้รับการดูแลรักษาจากทางการอินเดียเป็นอย่างดี มีต้นสาละและไม้อื่นปลูกอยู่ทั่วไป ให้ความร่มรื่นพอสมควร
การเดินทางไปอินเดียมีทั้งสุขให้เราเลือก มีทั้งทุกข์ให้เราผจญ ใครจะรับสุขหรือทุกข์นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการปรับสภาพของเราเอง พยายามสรรค์สร้างความรู้สึกนึกคิดที่ดีดีต่อสิ่งที่ผ่านมากระทบ สร้างความเข้าใจต่อสิ่งนั้นๆ หลีกเลี่ยงความกินใจต่อสิ่งที่ไม่เหมือนของเรา และความยากลำบาก เข้าให้ถึงมุมเสน่หาของอินเดียให้ได้ เพราะเสน่ห์แบบอัศจรรย์พันลึกของแดนภารตนี่เองที่ผู้ไปพบเห็นกล่าวขานกันไม่รู้จบ ความสุขชนิดที่คิดกันไม่ถึง ก็น่าจะเป็นมหาเสน่ห์ที่ ถวิลหาไม่รู้หาย
ดังนั้น ผู้ที่จะไปจาริกอินเดียให้ดูดี ต้องพกศรัทธา พาปัญญา จูงมือความเพียร สะสมบารมีไปให้เพียงพอต่อการใช้สอยในแต่ละวัน หากมี ศรัทธาจำกัด ปัญญาจำเขี่ย มีความเพียรอย่าง จำใจ จะทำให้ผู้เดินทางอ่อนระโหยโรยแรง พลาดจากความสนุกกับสิ่งแปลกใหม่อย่าง น่าเสียดาย ขอให้ทำใจให้ได้อย่างเดียว ความสุขหลายอย่างจะตามมา หากตามใจ อย่างเดียวเท่านั้น จะขาดทุนความอีกหลายอย่าง
ข่าวดีครับ ระหว่างวันที่ 3-11 มีนาคม 2556 ผมจะนำหมู่คณะไปสักการะสังเวชนียสถาน ทั้งสี่แห่งในอินเดียและเนปาล ท่านใดสนใจร่วมเดินทาง ติดต่อด่วน โทร.0-2685-2255 หวังว่าจะได้ไปร่วมบุญกันนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ นมัสเต อินเดีย
…………………………………
(ที่มา : คอลัมน์ ศิลาในน้ำเชี่ยว โดย… ดนัย จันทร์เจ้าฉาย)