ในหนังสือ “ธรรมดีที่พ่อทำ” ที่เพิ่งเปิดตัวก่อนเริ่มงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 5 -16 ตุลาคม ศกนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้เปิดเผยถึงสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงคนไทยมากที่สุดและสิ่งที่ทรงขอจากคนไทยว่า “สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงคนไทยเห็นจะเป็นเรื่องจิตสำนึกที่มีต่อแผ่นดินนี้ ตลอดระยะเวลา ๖๐ ปีที่ผ่านมา พระองค์ได้พยายามเสด็จไปทั่วทุกหัวระแหง ทรงดูแลตั้งแต่บนฟ้า ยอดเขา จรดชายทะเล อาจกล่าวได้ว่าชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับสิ่งใดนั้น พระองค์จะเข้ามาดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หากคนไทย ๖๐ ล้านกว่าคนไม่แยแสแผ่นดิน เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน ทำลายแผ่นดินแบบมักง่าย นับเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุ ๘๔ พรรษาแล้ว ควรจะทรงพักผ่อน แต่ก็ยังทรงกังวลอยู่ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราทุกคนคือต้องช่วยเหลือพระองค์ท่านในการรักษาดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นปัจจัยของชีวิตและแผ่นดินให้คงอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป เมื่อถึงวันนั้นพระองค์ก็จะทรงคลายความเป็นห่วงนี้ลงไปได้
ส่วนเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวทรงปรารถนามากที่สุดและทรงรับสั่งขอไว้ คือ อยากจะเห็นคนไทย มีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องทำ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยความเข้าใจ ด้วยสติและปัญญา โดยมีความรักความเมตตาเป็นองค์ประกอบสำคัญ รวมถึงมีความสมัครสมานสามัคคี ในการรักษาหรือดำเนินการภารกิจใดๆ ผมคิดว่าถ้าคนไทยถวายพระพรด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ตามที่พระองค์ ได้ทรงขอมา จะเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านชื่นพระทัยที่สุด เพราะแผ่นดินนี้คงจะมีความสุขสงบตลอดไป”
ในงานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ที่หอประชุมพุทธคยา พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ กล่าวถึงปัญหาพฤติกรรมลบหลู่ จาบจ้วง ล่วงเกินอย่างหยาบคาย ที่ทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า “ถึงเวลาแล้วที่เราไม่ควรเลี่ยง เพราะไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป อุดมคติเกี่ยวกับการเมืองของคนในโลกนี้ไม่เหมือนกัน ความต้องการผิดแผกแตกต่างกันได้ ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนในบ้านในเมืองต้องการการปกครองที่แตกต่างกัน ซึ่งเมืองไทยกำลังเผชิญปัญหานี้ มีคนไม่ต้องการพระมหากษัตริย์ ลุกขึ้นปลุกปั่น ตั้งเป็นขบวนการ เผยแพร่ข้อความชักจูงคนให้เห็นด้วย
“ในฐานะที่เคยถวายงานใกล้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงยึดติดกับเรื่องฐานะ พระองค์ทรงถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นตำแหน่งของพระองค์ จะออกจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่ออกไม่ได้เพราะเป็นตามความต้องการของประชาชน สมัยที่บ้านเมืองมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องคอมมิวนิสต์ เราต้องรบกับผู้ก่อการร้ายกว่า ๒๐ ปี จนคอมมิวนิสต์คุยว่า ยึดเมืองไทยได้ค่อนประเทศแล้ว ผมเคยได้เข้าเฝ้าและถือโอกาสกราบบังคบทูลถามว่า สมมติเมืองไทยกลายเป็นคอมมิวนิสต์จริงๆ จะทรงทำอย่างไร พระองค์ทรงรับสั่งตอบทันทีว่า วันนั้นเมืองไทยก็จะมีพลเมืองใหม่เพิ่มขึ้นอีก ๑ คน ชื่อ ‘ภูมิพลอดุลยเดช’ นี่คือน้ำพระทัยของ พระเจ้าอยู่หัวที่ไม่ยึดติดว่าสิ่งที่ทรงทำอยู่ใครจะชมหรือใครจะด่า ทรงถือว่าการปฏิบัติหน้าที่ของพระมหากษัตริย์นั้น เป็นความดีที่สมบูรณ์แล้ว”
พลตำรวจเอกวสิษฐ กล่าวต่อว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสมบัติของท่านทั้งหลายที่ทำให้เรา อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ หน้าที่จึงเป็นของทุกคน คือเมื่อรู้แล้วว่า มีพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นห่วงคนไทยทุกเรื่อง แล้วเราจะนั่งเฉยๆ อยู่อีกหรือไม่ หรือจะพูดให้ลูกหลาน คนใช้ เพื่อน คนรอบข้าง ได้เข้าใจ และหากไม่มีใครป้องกันสมบัติชิ้นนี้ก็ให้รู้ไป แต่ผมจะป้องกันของผม”
เราหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า .. เราลืมไปว่า คนไทยโชคดีแค่ไหนที่มีพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงรักคนไทย มากที่สุด … พบกับหนังสือธรรมดีที่พ่อทำ จัดพิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายหนึ่งหมื่นเล่ม และรายได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ สมทบทุนมูลนิธิภูมิพโลภิกขุ ได้ที่บูธสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี J05 เพลนนารีฮอลล์ และผมจะขึ้นเวทีเสวนา “คนไทยโชคดีแค่ไหนที่มีในหลวง” วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม ศกนี้ เวลา 16:00 – 17:00 น. รายละเอียดเพิ่มเติมในเฟซบุ๊ค www.facebook.com/danai.chanchaochai
หากเรารักในหลวง เราควรทำให้มากกว่าคิด ทำให้มากกว่าพูด ทำให้มากกว่ารู้สึก
มาร่วมกันทำดี ตราบจนลมหายใจสุดท้ายที่จะรดลงบนผืนแผ่นดินนี้.
เราโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินนี้ แผ่นดินของในหลวงของเรา ขอพระองค์ทรงมีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ