บางคนมีอาการของคนเป็นโรคใจชนิดที่เรียกว่า หัวใจเปราะบาง กระทบกระเทือนเรื่องใดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาการหนัก เจ็บปวดทรมานเศร้าโศกเสียใจ บางครั้งถึงกับเสียศูนย์เพียงเพราะลมปากของผู้อื่น จนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทั้งนี้ เพราะมัวแต่ฝากหัวใจไว้กับคนอื่น กลัวว่าคนอื่นจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีชีวิตที่ไหลไปตามกระแสน้ำ ไม่ต่างอะไรกับปลาตาย
ต้องยอมรับความจริงว่า คนในสังคมกลุ่มหนึ่งเลือกใช้ชีวิตเช่นนี้ เลือกเป็นปลาตายที่ไหลลอยไปตามกระแสน้ำ ขึ้นอยู่กับว่า เจ้านายจะสั่งอย่างไร คนอื่นจะบอกอย่างไร เพื่อนฝูงจะไปทางไหน ขอเฮโลตามกันไป ไร้จุดยืน ไร้ทิศทาง เป็นชีวิตที่เกิดจากการต้องการเป็นที่ยอมรับ เป็นชีวิตที่ขึ้นอยู่กับคนอื่นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ตามแต่คนอื่นจะตัดสินใจและชี้นำ เป็นการเลือกใช้ชีวิตอย่างที่คนอื่นอยากเห็น หรือชีวิตที่เราอยากเป็น แต่ไม่ใช่จากตัวตนที่แท้จริงของเราเอง
ตราบใดที่เรายังฝากหัวใจไว้กับคนอื่น จะไม่มีวันหาความสุขแท้จริงได้
เพราะใจที่ยังหวั่นไหว คลอนแคลน ขาดความเป็นกลาง ย่อมปราศจากสติสัมปชัญญะและปัญญา ดังนั้น สิ่งที่ทำ คำที่พูด ล้วนออกมาจากจิตใจที่ขาดจุดยืนและคุณธรรม เสี่ยงต่อการที่จะสร้างบาปอกุศลกรรม หรือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
คนที่ใจบางหน้าหนา จะกล้าทำชั่วได้ง่าย แต่คนที่ใจหนาหน้าบาง ไม่กล้าทำความชั่ว
หากเราฝึกอบรมจิตใจให้มีความหนักแน่นมั่นคง รักษาความเป็นกลางของหัวใจ มีสติรักษาและเคารพในคุณธรรมของตนเปรียบเป็นก้อนหินในสายน้ำ หรือศิลาในน้ำเชี่ยวย่อมไม่ไหลไปตามกระแสของคนหมู่มาก ซึ่งไม่ได้รับรองว่าไปกันถูกทาง แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีตัวอย่างให้เห็น
ใจที่เป็นดั่งก้อนหินในสายน้ำดวงนี้ก็จะเสมอด้วยผืนแผ่นดิน ใครจะขุด จะทำลายด้วยการกล่าวร้ายป้ายสี ถากถางเยาะเย้ย หรือกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ก็ไม่กระทบกระเทือนหรือขยับเขยื้อน ใครจะสรรเสริญ เยินยอ ชมเชย ก็ไม่ปลิวตาม เพราะรู้ชัดตามเป็นจริงว่า เราเป็นใคร กำลังจะไปไหน จะไปอย่างไร และยังมีสิ่งที่ต้องแก้ไขขัดเกลานิสัยของตนอีกเพียงใด
จิตใจที่หนักแน่นมั่นคงดวงนี้จึงเป็นอิสระจากทุกข์ที่เกิดขึ้นจากลมปากได้ ไม่ว่าจะเป็นสรรเสริญหรือนินทาก็ตาม เพราะใครเล่าจะเตือนตนได้ดีกว่าตนเอง จงรักษาความเป็นกลางของหัวใจ ให้หนักแน่นมั่นคงดั่งก้อนหินในสายน้ำเถิด.
ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
คนที่ถูกสรรเสริญ โดยส่วนเดียว
หรือถูกนินทา โดยส่วนเดียว ไม่มี
****************
เรื่องอย่างนี้มีมานานแล้ว
มิใช่เพิ่งจะมีในปัจจุบันนี้
อยู่เฉยๆ เขาก็นินทา
พูดมาก เขาก็นินทา
พูดน้อย เขาก็นินทา
ไม่มีใครในโลก ที่ไม่ถูกนินทา
พุทธวจน
เป็นบทความที่ดีมาก ตั้งแต่ชื่อเรื่อง จนมาถึงแก่นเนื้อใน ที่ต้องการจะสื่ออ่านแล้วรู้สึกว่าพี่ดนัยพยายามทวนกระแสกิเลสด้วยความมุ่งมั่น อ่านแล้วให้ความรู้สึกว่า..ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น ต้องเอาอย่างศิลาในน้ำเชี่ยว ต้องเอาอย่างปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำ ต้องหัดทวนกระแสกิเลสในตนเอง ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คำสรรเสริญ ทั้งนี้ก็เพื่อข้ามพ้นอาสวะกิเลสที่หยั่งรากฝังลึกในตน และยกระดับความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ ในที่สุดค่ะ
ด้วยความนับถือค่ะ
เสาวลักษณ์ สุวรรณเครือ
ขอบคุณครับคุณเสาวลักษณ์ เข้าใจได้ถ่องแท้ทีเดียวเชียว..
ขอให้มีความเพียรในการว่ายทวนกระแส และขอให้สำเร็จในโอกาสอันควร
ติดตามผลงานต่อไปนะครับ O.O
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ค่ะ จะจำไว้แล้วเอาไปฝึกปฏิบัติค่ะ 🙂
ครูบาอาจารย์ทางธรรมท่านมักเตือนเสมอว่า เวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้าไม่รีบขัดเกลา แก้ไขความผิดบาปในตัวเอง ลดละความเห็นแก่ตัวให้เบาบางและหมดไปโดยเร็วแล้วล่ะก้อ ในไม่ช้ามนุษย์เหล่านั้นจะถูกภัยพิบัติเก็บรวมจนหมด จะเหลือก็เพียงแต่คนดีมีคุณธรรม มีศีล 5 ไม่เห็นแก่ตัว อย่างพี่ดนัยเท่านั้น (ฮา)..จริงๆ นะพี่ไม่ได้พูดเล่น อิๆๆ..จะติดตามผลงานทางธรรมค่ะ
เสาวลักษณ์ สุวรรณเครือ
ขอบคุณมากนะครับ ที่คุณเสาวลักษณ์ถ่ายทอดคำสอนของครูบาอาจารย์
ซึ่งเป็นความจริงเช่นนั้น ส่วนผมก็พยายามรักษาศีลให้พร่องน้อยที่สุด
เท่าที่ทำได้ มีหลุดไปบ้าง ก็รีบกลับมาใหม่ …
ขอบคุณที่ติดตามผลงานนะครับ O.O
ขอบคุณมากครับที่ช่วยแนะนำบทความนี้ ทางทวีตภพ ดีใจที่ติดตามมาอ่านกัน
มีกำลังใจมากเลย O.O
เป็นกำลังใจให้ทำได้ครับ ขอให้มีความเพียรพยายามบ่อยๆ O.O
ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า..ฟ้าดินมีตา..ภัยพิบัติก็มีตา..ใครมีเมตตาเขาก็รู้..เขาก็จะอนุโมทนาสาธุ..ไม่กล้าแตะต้อง และถอยห่างไป..ส่วนใครที่เห็นแก่ตัว ขาดเมตตา ทำความดีแล้วหวังผลตอบแทน หวังชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง..ก็น่าเป็นห่วงว่าในที่สุดจะไม่รอดพ้นจากเงื้อมมือของภัยพิบัติได้เลย..กลิ่นไอของโลกและมนุษย์ที่เมตตาเท่านั้น ที่จะรอดพ้นจากภัยพิบัติ..น่าเป็นห่วงไม่น้อยว่า ปี 2012 เป็นต้นไป ผู้คนจะอยู่รอดปลอดภัยกันได้อย่างไร นอกเสียจากต้องทำบ้านทำที่อยู่อาศัย ให้เป็นพุทธสถาน – สถานปฏิบัติธรรมให้ได้เท่านั้น..เห็นพี่ดนัยมีออฟฟิศเป็นที่รวมใจผู้คนปฏิบัติธรรม สวดมนต์ อุทิศบุญกุศลอยู่อย่างสม่ำเสมอ..นั่นถือเป็นเรื่องที่ประเสริฐงดงามยิ่ง ขอเป็นกำลังใจให้คนดี คิดดี พูดดี ทำดี อย่างพี่ดนัย และกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ
ขอขอบคุณพี่ดนัยสำหรับบทความมีสาระที่ช่วยกระตุกจิตขอหนูให้กลับมายังตัวเองอีกครั้ง ปัจจุบันกระแสกิเลสรุนแรงจริงๆคะ จิตของเราต้องแข็งแกร่ง ไม่งั้นคุณจิตของหนูก็ชอบออกไปเที่ยวตามกระแสกิเลสอยู่เรื่องเลย
จะพยายามรู้ทันจิตอยู่เสมอคะ อนุโมทนาบุญสำหรับเนื้อหาดีๆที่เผยแผ่แก่เพื่อนร่วมโลกด้วยนะคะ
ต้องยอมรับว่าเคยเป็นบุคคลประเภทที่ ” ฝากหัวใจตัวเอง ” ไว้กับคนอื่นเหมือนกัน…ฝากโดยไม่รู้ตัวมานานมาก…จนวันหนึ่งได้มีโอกาสเข้ามาสู่โลกของ White Ocean Society ถึงได้รู้ว่าเราทำร้ายหัวใจเราเองมาตลอด…ขอขอบคุณคุณดนัย ที่เป็นต้นแบบให้เราได้เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเราอย่างมาก (ถึงมากสุด)…ถึงแม้วันนี้จะยังปฏิบัติได้ไม่มาก หรือยังไม่ดีเท่าไหร่ แต่เราก็ดีใจที่ได้มีจุดเริ่มต้นซะทีที่จะเยียวยาหัวใจตัวเอง…ได้บอกต่อถึงสิ่งดี ๆ (PAY IT FORWARD)…ได้มีโอกาสทำความดีในแบบที่ไม่เคยได้ทำ…ได้ให้แบบ one way give…ที่ทำให้ชีวิตมีความสุขมากมายขนาดนี้…ขอบคุณจากใจค่ะ…ปล. รออ่านหนังสือเล่มใหม่อยู่นะคะ !!!
เป็นกำลังใจให้นะครับ คุณซินดี้
ทำให้ดู อยู่เพื่อให้ ด้วยหัวใจสีขาว….
ส่งเรื่องดีดีมาฝาก
ชอบมากคะ และขออนุญาตนำบางส่วนไปเขียนในบล๊อกของตัวเองนะคะ ได้อ่านหนังสือหัวใจสีขาวของคุณดนัยแล้ว ได้ข้อคิดมากมายคะ โดยเฉพาะมุมมองความคิดด้านจิตใจ ขอบคุณที่มีบทความดีๆให้อ่าน
การทำความดีตั้งใจ…มุ่งมั่น…อดทนมาก ๆๆๆๆ….เพราะผลของความดีงามมันช้าแต่ชัวร์ค่ะ
เราต้องมีใจที่หนักแน่นเหมือนก้อนหินที่อยู่ในสายน้ำ ขอบคุณค่ะ
ตราบใดที่เรายังฝากหัวใจไว้กับคนอื่น จะไม่มีวันหาความสุขแท้จริงได้
อ่านแล้วเป็นกำลังใจ เป็นเข็มทิศให้เดินต่อไปอย่างมั่นใจ ยอมรับเลยว่าสังคมและสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการใช้ชีวิตอยู่มากๆ…อ่านบทความนี้แล้ว ทำให้มีความสุขใจและมั่นใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง เพียงเรายึดมั่นในศีลในธรรม…ดีใจและเป็นบุญที่ได้แวะเข้ามาอ่าน…และจะขอฝึกเป็นคนดียิ่งๆ ขึ้นด้วยคนนะคะ
ขอแบ่งปัน.ให้เพื่อนๆเพจอิ่มบุญworkshopได้อ่านเป็นธรรมทานนะคะ ขอบคุณค่ะ