ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความวุ่นวายและเหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านราชประสงค์ที่ผมอาศัยอยู่และทำงานมากว่าสิบปี ก่อนจะมีมาตรการ ‘กระชับพื้นที่วงล้อม’ โชคดีที่ Coke ได้เชิญผมให้เข้าไปร่วมงาน Shanghai Expo 2010 ซึ่งเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการท่ามกลางสายตานานาประเทศ และจะมีไปจนถึงเดือนตุลาคมปีนี้ ทำให้มีโอกาสได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศ หลบความวุ่นวายสักพัก แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่วันก็ตาม
สิ่งที่น่าชื่นชมคนจีนและรัฐบาลจีน คือ ความสามารถในการจัดงานระดับโลกได้อย่างยอดเยี่ยม การเตรียมความพร้อมในด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ตั้งแต่สนามบิน ถนนหนทาง ระบบขนส่งมวลชน ที่พักและความพร้อมในทุกด้าน ที่สำคัญ มีความรู้สึกว่าชาวเซี่ยงไฮ้เต็มใจที่จะเป็นเจ้าภาพงาน World Expo อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความประทับใจต่อผู้มาเยือน ทั้งในด้านความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมืองและผู้คน แม้กระทั่งด่านตม. ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินยังมีเครื่องอัตโนมัติให้นักท่องเที่ยวได้กดให้คะแนนเจ้าหน้าที่บริการว่าพอใจในระดับใดหลังจากได้แสตมป์ในหนังสือเดินทาง จึงรู้ได้ทันทีว่า ตอนนี้มังกรเริ่มตื่นและแสดงแสนยานุภาพแล้ว ส่วนเมืองไทยของเราล่ะจะเป็นอย่างไร!
ด้วยจำนวนประชากรในปัจจุบัน 1.3 พันล้านคน และในอีก 10 ปีข้างหน้า คือ ค.ศ. 2020 จีนจะมี 11 เมืองใหญ่ที่พัฒนาแล้ว มีประชากรโดยเฉลี่ยเมืองละ 40 ล้านคน ทำให้กลายเป็นตลาดที่น่าสนใจของสินค้าและบริการทุกชนิด เช่นเดียวกับที่โค้กก็คาดการณ์ไว้ว่าต่อไปอีกไม่เกินสิบปี จีนจะขึ้นแซงสหรัฐอเมริกา ชิงตำแหน่งเบอร์หนึ่งของตลาดสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างสบายๆ
ด้วยการมองการณ์ไกลของโค้ก ทำให้เป็นบริษัทต่างชาติแห่งแรกและแห่งเดียวที่เข้ามาสนับสนุนมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่งในปี 2008 และอีกหลายรายการเรื่อยมาจนถึงงาน Shanghai World Expo 2010 เป็นผลจากสายสัมพันธ์อันยาวนานนับแต่ปี 1927 ที่ได้เป็นบริษัทต่างชาติแห่งแรกที่เปิดโรงงานผลิดในเซี่ยงไฮ้และเทียนจิน
ผมมองว่าเป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาดที่โค้กเลือกจัดงานฉลองครบรอบ 125 ปีของแบรนด์ในงาน Shanghai Expo โดยทุ่มทุนมหาศาลในทุกจุดสัมผัสในงานเอ็กซ์โป ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่รถเข็นยี่ห้อโค้ก พร้อมพนักงานสาวจีนที่ยืนโปรโมท ‘โขคาโข่เล่อ’ เป็นการออกเสียงเรียกโค้กสำเนียงแมนดาริน! Coke Video
นอกจากนี้ โค้กยังสร้าง Happiness Factory โรงงานสร้างสุขสีแดงสะดุดตาอยู่ในงานเอ็กซ์โปภายใต้แนวคิด ‘A World Refreshed with Happiness’ โดยก่อนเข้างานจะมีทีมงานเป่าลูกโป่งเป็นรูปสัตว์หรือตุ๊กตาน่ารัก มีสาวสวยคอยเขียนคำว่า Coca-Cola ด้วยปากกาพู่กันจีน ใช้หมึกแดง วาดลายเส้นบนมือ บนแก้มหรือลำตัวของผู้เข้าชม พร้อมลูกเล่นนับถอยหลังเป็นภาษาจีนพร้อมๆ กันเสียงดังๆ เป็นการ Happy Birthday ให้กับโค้ก
ภายใน Happiness Factory มีของสะสมมากมายที่มีสัญลักษณ์ Coca-Cola ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา เครื่องดนตรี อุปกรณ์กีฬา พร้อมการนำเสนอกระบวนการผลิตความสุขในรูปแบบแอนิเมชั่น ประหนึ่งว่าเรากำลังอยู่ในสายการผลิตที่ปลายทาง โดยไฮไลท์ คือ ขวดโค้กมินิที่ผลิตเฉพาะในงานเอ็กซ์โปนี้ จะดื่มเลยหรือจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ตามแต่อัธยาศัย และที่น่าประทับใจ คือ Employee of The Month พนักงานดีเด่นประจำเดือนที่เป็นตัวละครต่างๆ ที่อยู่ในหนังแอนิเมชั่น
ด้านการสื่อการตลาดที่ถือว่าแปลกใหม่สำหรับโค้ก และน่าจะเป็นบริษัทแรกๆ ที่ริเริ่ม คือ มีการเชิญนักเขียนบล็อกจากประเทศต่างๆ ในเอเชียมาร่วมในงานนี้นับสิบประเทศ เรียกว่าเป็น Blogger Conference แทนที่จะเป็นการเชิญสื่อมวลชนตามธรรมเนียมทั่วไป โดยผมเป็นหนึ่งในสี่บล็อกเกอร์ชาวไทยที่ได้ถูกเชิญให้ร่วมงานด้วย แสดงให้เห็นว่าโค้กเริ่มเข้ามาใน Social Media อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่มีการสื่อสารในโลกออนไลน์ และที่น่าสังเกตคือ บล็อกเกอร์หลายคนที่มาจากออสเตรเลีย ฮ่องกง มีอาชีพเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเต็มตัว และพอมีเวลาว่างก็มาเขียนบล็อก เอาล่ะ ตอนนี้สื่อมวลชนไทยหรือนักสื่อสารการตลาดคนไหนที่ยังไม่ใช้ Social Media ไม่เขียนบล็อก ไม่เล่นทวีตเตอร์ เฟซบุ๊ค ต้องเริ่มแล้วนะครับ
อย่างที่ผมได้พูดไว้บ่อยๆ ว่า ปี 2010 เป็นต้นไป เป็นยุคของการสร้าง Personal Brand ด้วยอิทธิฤทธิ์ของ Social Media หากไม่เริ่มสร้าง เราอาจไม่มีที่ยืนและไม่มีต้นทุนทางสังคม
สาระใน Blogger Conference ที่ได้รับมา คือ การที่โค้กสามารถรักษาแบรนด์ให้อยู่ยงคงกระพันมาถึง 125 ปี จำเป็นต้องให้ความสำคัญทางด้านนวัตกรรม R&D ในทุกด้าน โดยในเซี่ยงไฮ้จะมีหน่วยงานด้านนื้ที่ถือว่าใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก มีการวิจัยทั้งในด้านส่วนผสม รสชาติ แพ็คเก็จจิ้ง ช่องทางการขาย บรรยากาศร้าน เทคโนโลยี (ปัจจุบันโค้กมีสินค้ามากกว่า 500 รายการ) ความสำคัญด้าน Innovation นี้เองเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์นี้
ความเก๋ไก๋อีกประการคือ ฑูตแห่งความสุข 3 คนของโค้กที่คัดเลือกมาจากทั่วโลก และทำหน้าที่ในการสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุขให้กับคนใน 206 ประเทศทั่วโลก พร้อมตัวมาสคอตชื่อว่า ไฮบาว เริ่มต้นการเดินทางจากกรุงมาดริด ประเทศสเปน นับจนถึงวันนี้เดินทางไปแล้ว 40 กว่าประเทศ และโพสต์การเดินทางให้ผู้คนติดตามทางเว็บ www.icoke.cn โดยมีจำนวนผู้เข้าชมการเดินทางเฉพาะในประเทศจีนถึง 128 ครั้ง ผมว่าเป็นงานที่น่าอิจฉา เพราะสร้างรอยยิ้มและส่งเสริมทัศนคติการใช้ชีวิตอย่างเป็นบวก Live Positively ตามสโลแกนล่าสุด
เราคงไปไม่ถึงงาน Shanghai Expo 2010 หากไม่ได้ไปเยี่ยม Thailand Pavilion ซึ่งได้รับความนิยมอันดับ 1 ใน 7 ของโลก โดดเด่นตั้งแต่สถาปัตยกรรมเรือนไทยโดดเด่น ต่างจากหมู่ Pavilion ของเพื่อนบ้าน อาทิ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปินส์ที่ออกแนวโมเดิร์น ทุกท่านที่เป็นคนไทยไม่ต้องไปเข้าคิวรอหลายชั่วโมง เดินไปหน้าบูธแล้วบอกว่าเป็นคนไทย ก็จะได้รับเชิญให้เข้าไปทันที รับรองว่าเข้าไปแล้ว จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจที่เป็นคนไทยยิ่งนัก
แล้วคราวหน้าจะพาไปสำรวจ Thai Pavillion กันครับ.
วางแผนจะไปเดือนตุลาก่อนเค้าปิดงานครับ เคยไปเมื่อตุลาปีที่แล้วรู้สึกได้เลยว่าเค้าเตรียมงานนี้อย่างเต็มที่จริง ๆ ปรับปรุงตึกและสถานที่ต่าง ๆ แทบทั้งใจกลางเมือง อย่าง The Bund ก็ปิดปรับปรุงเช่นกันครับ
จะรออ่านตอนหน้านะครับ
แนะนำให้ไปอย่างยิ่งครับ น่าศึกษาในหลายมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาอย่างรุดหน้า
จะทยอยเขียนลงให้อ่านเรื่อยๆ ครับ O.O
การพัฒนาการของประเทศเค้า…
ช่างก้าวกระโดดไปได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะค้า
อยากให้ประเทศเราหันมาหยุดคิดตามสักนิดบ้าง
ก่อนที่จะเดินไปผิดทาง
เราเองก้อเจริญทางวัตถุแต่บรรลุวัตถุประสงค์คนละทาง…งือ
ขอชื่นชม และ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
อยากให้เป็น concept ของคุณดนัยที่ดึง
เรื่องใกล้ตัวทางโลก มาประยุกต์ให้คิด แบบทางธรรม
ที่เป็น จุดแข็ง ของคุณดนัยค่ะ
Beau
ที่เห็นชัดเจนในจีน คือ การพัฒนาด้านวัตถุ และความสามารถทางการแข่งขัน
ของคนจีน พัฒนาไปรวดเร็วน่าทึ่ง แต่ที่ยังไม่ได้สัมผัสอย่างถ่องแท้ คือ
จิตใจ หากมีโอกาสได้กลับไปอีก จะลองไปสัมผัสในมิตินี้นะครับ
Thailand Pavillion http://en.expo2010.cn/c/en_gj_tpl_54.htm
โห… แอบอิจฉาค่ะ อยากไปงาน ที่เซี่ยงไฮ้นี้มากๆๆ
แอบชอบประโยคนี้ค่ะ “เป็นยุคของการสร้าง Personal Brand ด้วยอิทธิฤทธิ์ของ Social Media หากไม่เริ่มสร้าง เราอาจไม่มีที่ยืนและไม่มีต้นทุนทางสังคม”
ขอบคุณที่ติดตามผลงานนะครับ คุณ Beau …
มีอะไรก็จะเล่าไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุด 555 O.O