เช้านี้ องค์หลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร ได้เมตตาเล่า
ถึงเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
วันนั้น องค์ท่านมีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคณะสงฆ์กว่าสี่สิบรูป ซึ่งล้วนเป็นพระนักปฏิบัติ
เมตตาเดินทางมาเยี่ยมเยียนป่าละอู สำนักสงฆ์เล็กๆ แห่งนี้
แต่องค์หลวงพ่อมีเวลาจำกัด จึงสนทนาธรรมกับท่านเหล่านั้น
ได้เพียงชั่วครู่…หลังจากวันนั้น ก็มีพระปฏิบัติหลายรูป
ได้โทรมากราบเรียนเพื่อสอบถามด้านการปฏิบัติกับองค์ท่าน
ทำให้องค์หลวงพ่อ นึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งพุทธกาล..
▪️พระอินทร์ ได้เสด็จลงมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อถวายสักการะ ยืนอยู่ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงได้กล่าวคำถามนี้ ..
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ..
กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
…………….
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“สพฺเพ ธมฺมา นาล° อภินิเวสย”
‘ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น’
ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ว่า
#ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง
ครั้นรู้ยิ่งธรรมทั้งปวงแล้ว
ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง
ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว
เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
เธอพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด
พิจารณาเห็นความดับ และพิจารณาเห็นความสลัดทิ้ง
ในเวทนาทั้งหลายนั้นอยู่
เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด
พิจารณาเห็นความดับ และพิจารณาเห็นความสลัดทิ้ง
ในเวทนาทั้งหลายนั้นอยู่
ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก
เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น
เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น
ย่อมดับกิเลสได้เฉพาะตนและรู้ชัดว่า
‘ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว
ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป’
[ที่มา : จูฬตัณหาสัขยสูตร]
▪️แม้พระโมคคัลลานะ สมัยที่ท่านเพิ่งบวชได้ ๗ วัน
ขณะที่ท่านกำลังปฏิบัติอยู่นั้น ความง่วงเข้าครอบงำ
พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณ จึงตรัสอุบาย
เพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับ จนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วง
ก็ให้นอนเสีย แต่ให้นอนอย่างมีสติ
จากนั้น พระพุทธองค์ก็ได้แสดงธรรมบทสูตรนี้
แก่พระโมคคัลลานะ เช่นกัน
#ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
หลังจากที่พระโมคคัลลานะ ได้สดับรับฟังพระธรรม
จึงได้นำไปใคร่ครวญพิจารณา ทว่าเพียงการฟัง การพิจารณา
หรือสุตตมยปัญญา จินตมยปัญญา นั้นไม่เพียงพอ
ต่อการบรรลุธรรม พึงมีภาวนามยปัญญา
พระโมคคัลลานะท่านต้องนำไปปฏิบัติ
จนจิตสามารถเปิดมโนธาตุหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว
กับความว่างของจักรวาลเดิมได้ ท่านจึงได้บรรลุอรหัตผล
หลังจากอุปสมบทแล้ว ๗ วัน
▪️พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสถึงความแตกต่างในการปฏิบัติ
เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ไว้ ๔ ประการ (ปฏิปทา ๔) ได้แก่
๑. ปฏิบัติลำบาก และบรรลุได้ยาก
(ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา)
๒. ปฏิบัติลำบาก แต่บรรลุได้เร็ว
(ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา)
๓. ปฏิบัติสะดวก แต่บรรลุได้ช้า
(สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา)
๔. ปฏิบัติสะดวก และบรรลุได้เร็ว
(สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา)
▪️องค์หลวงพ่อมนตรี ยังได้เมตตาหยิบยกเรื่องราวขององค์ท่านเอง สมัยที่ท่านยังเป็นฆราวาส หลังจากที่ได้ศึกษาและปฏิบัติภาวนา
มาสักระยะหนึ่ง ท่านก็เกิดความสงสัยขึ้นว่า
เพียงแค่การนั่งภาวนา ท่องบ่นคำบริกรรม
การเอาสัญญาไปดับเวทนา แยกรูปนาม
พิจารณาอสุภะ จะทำให้เกิดนิพพิทา
เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
จนกระทั่งทำให้จิตหลุดพ้นได้อย่างไร
จะใช่เส้นทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มหาบุรุษ ทรงค้นพบอย่างนั้นหรือ?
เมื่อจิตเต็มไปด้วยความสงสัย
ท่านจึงเที่ยวตามหาพ่อแม่ครูอาจารย์
เพื่อขอโอกาสได้กราบซักถาม
ถึงคำถามคาใจนั้น แต่ก็ไม่ปรากฏพระรูปใด
ที่จะคลายข้อสงสัยของท่านลงได้
จนกระทั่งท่านได้มาพบกับพ่อแม่ครูอาจารย์ คือ
องค์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
คำตอบจากองค์หลวงปู่ดูลย์ ในครั้งนั้น
เป็นสิ่งที่ท่านไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน
ซึ่งองค์หลวงพ่อยังจำได้ขึ้นใจ
ตราบจนทุกวันนี้ …
“ถ้าเรามีความเห็นอย่างเด็ดขาดลงไปว่า
จิตของเรากับธรรมชาติต่างๆ ที่แวดล้อมเราอยู่นั้น
มันเป็นสิ่งๆ เดียวกัน เราจะเป็นผู้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
ในภพภูมิใดทั้งสิ้นอีก จิตจะมุ่งตรงสู่พระนิพพาน
แค่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น”
คำตอบจากองค์หลวงปู่ดูลย์ประโยคนั้น
คลายความสงสัยของท่านจนหมดสิ้น
อุปมาดั่งท่านได้พบกับ #ทางสายตรง
#เส้นทางที่มุ่งตรงต่อพระนิพพาน
ท่านจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด สละเพศฆราวาส
ในวัย ๔๔ ปี ออกเดินตามรอยบาทพระศาสดา
เข้าสู่เส้นทางธรรม
▪️เมื่อองค์หลวงพ่อได้มาศึกษาและปฏิบัติ ตามแนวทาง
ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ โดยมีองค์หลวงปู่ดูลย์
ซึ่งหลวงพ่อเทิดไว้เหนือเศียรเกล้า
เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ชี้บอกทาง
จากที่ท่านเคยมีศรัทธาอย่างแรงกล้า ในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้วนั้น ยิ่งเพิ่มพูนความศรัทธา
น้อมลงกราบได้อย่างหมดหัวใจ ด้วยสำนึกในพระบริสุทธิคุณ
พระกรุณาธิคุณ และโดยเฉพาะพระปัญญาธิคุณอันยิ่งใหญ่
ที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบ สิ่งที่อยู่เหนือการเวียนว่ายตายเกิด
เหนือสังสารวัฏ
เมื่อธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
กับมโนธาตุ ที่นั่น ทำให้สังสารวัฏเอื้อมมือมาไม่ถึง
***นั่นคือ ม ห า สุ ญ ญ ต า***
***นั่นคือ พ ร ะ นิ พ พ า น***
ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ด้วยพระปัญญาธิคุณที่ยิ่งของพระองค์
เราจึงได้มีพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นเครื่องชี้บอกทาง
เส้นแห่งความหลุดพ้น ..
พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด
พ้นไปจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง
▪️ตลอดระยะเวลา ๒๕ ปี
ตั้งแต่แรกเปิดวัด ตราบจนถึงวันนี้
ที่ป่าละอูแห่งนี้
จึงไม่รับกฐิน ไม่รับผ้าป่า ไม่รับกิจนิมนต์ใดๆ ทั้งสิ้น
ด้วยต้องการให้หมู่สงฆ์ ผู้ที่ได้สละแล้วซึ่งทางโลก
ได้มีเวลาปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มที่
ที่นี่ .. ยังคงยึดมั่นเพียงปฏิปทาเดียว นั่นคือ
การนำพาหมู่คณะ เดินตามรอยบาทพระศาสดา
สู่เส้นทางที่พระพุทธองค์ ได้ทรงเมตตาชี้บอกไว้
นั่นคือ การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น !!
============================
ส่วนหนึ่งจากการเมตตาแสดงธรรม
โดยองค์หลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร
ณ สวนพุทธธรรม ป่าละอู จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
หากมีสิ่งหนึ่งประการใด ที่ลูกประมาทพลาดพลั้ง
ล่วงเกินองค์หลวงพ่อ จากการสรุปสาระธรรมครั้งนี้
ลูกกราบขอขมากรรม กราบขออโหสิกรรม
ต่อองค์หลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร มา ณ ที่นี้
ด้วยจิตเคารพอย่างสูงสุด
???