ในหมู่บ้านชนบทแถวภาคอีสาน ย้อนกลับไปเกือบห้าสิบปีก่อน ลมหายใจแรก ได้ให้ชีวิตกับทารกน้อยเพศชายตัวน้อยๆ ที่อ้าปากร้องอุแว้ๆ ทันทีที่หลุดออกจากท้องแม่ด้วยฝีมือของหมอตำแย ท่ามกลางความดีใจของทุกคน ทั้งพ่อแม่ ลุงป้าน้าอาและตายายซึ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ทารกตัวน้อยจะออกมาดูโลกในเช้าตรู่ที่อากาศหนาวเย็นและเป็นวันมหามงคลวันหนึ่งของประเทศไทย
เมื่อ ลมหายใจแห่งชีวิตแรก ได้เกิดขึ้น ก็ได้สร้างชีวิตและความเติบโตกับให้ทารกน้อยคนนั้นจวบจนปัจจุบัน โดย ลมหายใจเข้าสลับกับลมหายใจออก ไม่เคยมีวันหยุดพักผ่อน ไม่เคยได้หยุดทำงาน ไม่เคยได้ลาพักร้อน จนเวลาล่วงเลยมาเกือบห้าสิบปี
เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา เด็กชายกลายเป็นหนุ่มใหญ่รุ่นเข้าโค้งสุดท้าย ชายผู้นั้นได้มีโอกาสหวนกลับไปดูภาพขาวดำสมัยอดีต ที่แม่ยืนอุ้มทารกน้อยแรกเกิดอยู่กลางทุ่งนา ด้วยสายตาที่มองลูกน้อยอย่างอ่อนโยน ภาพขาวดำเล็กๆ นั้น มีลายมือเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า
‘This is my son.’ (ลูกชายของฉัน)
แม้ว่าแม่ไม่ได้เขียนอะไรไปมากกว่านั้น แต่เขาก็ได้สัมผัสอย่างเต็มเปี่ยมถึงความรักที่แม่ พ่อ และทุกคนรอบข้างได้มอบให้นับจากวันที่ได้ลืมตาดูโลกใบนี้
ชายผู้นั้นจึงรู้สึกขอบคุณ ลมหายใจแรก ที่ได้ให้กำเนิดชีวิต ขอบคุณพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ที่ได้แบ่งปันเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ ขอบคุณ ผืนแผ่นดิน อากาศ และสรรพสิ่งรอบตัวที่อนุญาตให้เขาได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้งดงามน่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิม
นั่นคือ เป้าหมายของชีวิต เป้าหมายของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกลมหายใจเข้าออก ของเขา จึงเปี่ยมด้วยคุณค่า หายใจเข้าเป็นบุญ เป็นกุศล และหายใจออกด้วยความรัก ความปรารถนาดี และความเมตตาต่อสรรพสิ่งรอบตัว
เขาได้ตระหนักว่า ลมหายใจคือแบ็คกราวน์แห่งชีวิต ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยลมหายใจ เป็นการแบ่งปันทรัพยากรของโลกที่เท่าเทียมและยุติธรรม ไม่มีผู้ใดสามารถกักตุนอากาศไว้ให้ตนเองเพียงผู้เดียว ไม่มีใครสามารถกั้นอาณาเขต ‘ห้ามเข้า’ นี่คือบริเวณแห่งลมหายใจของฉันแต่เพียงผู้เดียว! ฉันรวยกว่า ฉันมีสิทธิ์ได้หายใจมากกว่า เธอจน เธอหายใจแค่นี้พอ! ฉันไม่ชอบหน้าเธอ อย่ามาหายใจบริเวณนี้!
เกิดมาแล้ว ยากดีมีจน ผู้ดีไพร่ ชาวนายาจก คหบดี ข้าราชการ นักการเมือง รวมทั้งสัตว์ทุกชนิด เราทั้งหลายต่างมีลมหายใจเดียวกัน แบ่งปันอากาศเดียวกัน เธอหายใจออก ฉันหายใจเข้า โยงใยสัมพันธ์แบ่งปันกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรมที่สุด …
โชคดีที่ชายผู้นี้ได้ค้นพบกุญแจสู่ความสุขแห่งชีวิต กุญแจดอกนั้น ก็คือ ลมหายใจของเขานั่นเอง เขาได้ค้นพบว่า ลมหายใจ คือ สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางกายและจิตใจ เป็นประตูลับที่เชื่อมโยงชีวิตกายใจ ให้หลอมรวมสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อใดที่เขาหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อนั้นระบบการทำงานทุกอย่างในร่างกายมีคุณภาพ อยู่ในจุดสมดุล ทั้งการไหลเวียน ความดันโลหิต ชีพจรการเต้นของหัวใจ และอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย เซลส์น้อยใหญ่ทำงานสมัครสมานกันอย่างกัลยาณมิตร จิตใจของเขาก็ปลอดโปร่ง มีความสุขสบาย มีสติสัมปชัญญะและสมาธิในการใช้ชีวิตและทำงาน
แต่เมื่อใดที่การหายใจของเขาผิดปกติ ถี่แรงและสั้น ร่างกายก็จะแปรปรวน การทำงานของอวัยวะน้อยใหญ่ไม่สมดุล ความดันและชีพจรการเต้นของหัวใจผิดปรกติ ส่วนจิตใจก็ว้าวุ่น วิตกกังวลหรือตื่นเต้น จนขาดสติและไม่มีสมาธิที่ดีพอ
ลมหายใจ คือ บันไดแห่งสติ
ลมหายใจ คือ สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด
เรามีเพียง หนึ่งลมหายใจเดียวเท่านั้น ที่จะดำรงไว้ซึ่งชีวิต ช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน หายใจเข้าแล้วไม่ออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่เข้าก็ตาย และที่สำคัญ เราต่างมีลมหายใจเดียวกัน จึงควรหมั่นระลึกถึงลมหายใจไว้เนืองๆ
ขอให้มีความสุขทุกลมหายใจ.
ในวันนี้ที่ยังมีลมหายใจ ..ความสุขอยู่ที่หายใจเองได้ไม่ต้องซื้ออากาศเพื่อการหายใจ หมั่นรักษาลมหายใจให้เป็นปกติ เพื่อความสุขทุกลมหายใจ.. ขอบคุณค่ะ .. ลมหายใจ บันไดแห่งสติ ..