เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า เราทุกคนนั้น คือ ประติมากรรมชิ้นเอกเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ ที่รังสรรค์มาอย่างวิเศษสุดโดยคุณพ่อคุณแม่ เราเป็นผู้ชนะเลิศนับแต่วินาทีที่ได้ปฏิสนธิในท้องแม่ เป็นสเปิร์มตัวแรกและตัวเดียวที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถเอาชนะคู่แข่งหลายพันล้านตัวเข้าสู่เส้นชัย!
เราทุกคน คือ ประติมากรรมชิ้นเอกหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ เมื่อเทียบกับประชากรโลกที่ทะลุหลักเจ็ดพันล้านไปเรียบร้อย ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา และจะทะยานขึ้นแตะหลักแปดพันล้าน และเก้าพันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากอยากทราบว่า จำนวนผู้คนเจ็ดพันล้านมากมายเพียงใด ลองเริ่มต้นนับหนึ่งไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุด กว่าจะนับถึงเจ็ดพันล้านต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 300 ปี!
เราทุกคน คือ ประติมากรรมชิ้นแอกหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ เมื่อเทียบกับประชากรในประเทศไทยที่มีมากกว่า 64 ล้านคนจากสถิติล่าสุด ลองใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดี ไม่มีใครสักคนที่เป็นเหมือนเรา ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สีผิว อารมณ์ ชีวิตจิตใจ ความรู้สึกและสภาพความเป็นอยู่
ลองมอบให้แคบเข้ามาอีก ในองค์กรที่เราทำงานอยู่ กำลังศึกษาเล่าเรียน อาจมีจำนวนพนักงานผู้คนหลักสิบ หลักร้อย หลักพัน แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่เป็นเหมือนเรา … ตีวงแคบเข้ามากว่านั้น ครอบครัวเราเอง มีพ่อแม่ พี่ป้านาอา ปู่ย่าตายาย วงศาคณาญาติ หรือแม้กระทั่งพี่น้องที่คลานกันตามออกมา ก็ไม่มีใครสักคนที่เป็นเหมือนเรา .. ผู้เป็นดั่งประติมากรรมชิ้นเอกในโลกนี้
แม้กระทั่งแฝดเหมือนที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน … อาจมีความละม้ายคล้ายคลึงด้านกายภาพ รูปร่างหน้าตา ทว่าชีวิตจิตใจก็ยังแตกต่าง ไม่ซ้ำกัน ประการสำคัญ คือ ประติมากรรมชิ้นเอกหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ ไม่สามารถทำซ้ำได้อีก ไม่สามารถโคลนนิ่งได้ นำไปถ่ายซีรอกซ์ หรือเพิ่มจำนวนได้ … ที่เป็นอยู่อย่างนี้มีเพียงหนึ่งเดียวจริงๆ
ดังนั้น เราจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เลิศที่สุด ในสิ่งที่เป็นอยู่ .. คำชมที่ผมมักจะมอบให้กับทุกคน คือ คุณดีที่สุดแล้วในสิ่งที่เป็น! แม้หลายคนจะต้องหันกลับมาถามว่านั่นเป็นคำชมหรือไม่ แต่คำตอบจากใจ คือ ชมจริงๆ .. เราทุกคน ดีที่สุดในสิ่งที่เป็น
หากเรารู้จักรักและเมตตา ได้ตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะไม่มีวันคิดร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใดได้ บุคคลที่สามารถคิดร้าย ว่าร้าย ทำร้ายต่อผู้อื่น แสดงว่ายังเป็นผู้ที่ไม่รู้จักรักและเห็นคุณค่าของตนเองอย่างแท้จริง
และตราบใดที่เรายังเห็นว่าคนอื่นเลว แสดงว่า เรายังดีไม่พอ ที่สำคัญ อย่าพยายามเป็นคนดี โดยการทำให้ผู้อื่นเลว!
ในเมื่อเราคือประติมากรรมชิ้นเอกของโลก เป็นผลงานของคุณพ่อคุณแม่ เราย่อมเลือกและพยายามที่จะทำสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นกับตนเองและคนรอบข้าง สร้างสรรค์โลกใบนี้ให้สวยงามน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม ชีวิตของเราจึงเปรียบเสมือนเป็นการสร้างอนุเสาวรีย์ที่บ่งบอกถึงผลงานของคุณพ่อคุณแม่ จะมั่นคงแข็งแกร่งและสวยงาม หรือจะอัปลักษณ์น่าอดสูเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตที่เราเลือกเดิน
ประติมากรรมชิ้นเอกย่อมไม่ทำให้บุพการีเสียใจ กังวัลใจ แต่จะเพียรทำทุกอย่างให้บุพการีมีความภาคภูมิใจที่ท่านได้เมตตาให้ชีวิต เลือดเนื้อ จิตวิญญาณและลมหายใจ
ย้อนกลับไป 2600 ปีก่อน พระพุทธองค์ได้ทรงเปล่งอภิสวาจา (คำพูดอันเป็นเลิศ) นับแต่วันที่ประสูติจากพระนางสิริมหามายา ณ สวนลุมพินีวัน ใต้ต้นสาละ มีข้อความอันทรงพลังอย่างยิ่งว่า “เราเป็นเลิศที่สุด เราเป็นผู้เจริญที่สุด เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การเกิดไม่มีกับเราอีกต่อไป”
อภิสวาจาอันเป็นเลิศนี้ คือ การประกาศถึงศักยภาพของมนุษย์ทุกคน ที่สามารถพัฒนาให้เป็นเลิศที่สุด เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด และสำคัญยิ่ง คือ สามารถทำให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราได้ทุกคน เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่งใหญ่ที่พระพุทธองค์ได้เสด็จลงมาเพื่อประกาศให้พวกเราได้เข้าใจถึงเป้าหมายของเกิดเป็นมนุษย์ และได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีชีวิต
ชีวิตนี้จึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ขอให้ทุกท่านตักตวงการมีชีวิตธรรมดาๆ ที่แสนวิเศษนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะชีวิตที่เราหายใจได้เป็นปกติ คือ ชีวิตที่แสนวิเศษ ชีวิตที่เราเดินไปไหนมาไหนได้เอง คือ ชีวิตที่แสนวิเศษ ชีวิตที่เราสามารถรับประทานอาหารและลิ้มรสชาติอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย คือ ชีวิตที่แสนวิเศษ สรุปแล้ว ชีวิตที่เป็นปกติธรรมดา คือ สิ่งวิเศษสุด ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาสิ่งวิเศษอื่นใดมากกว่านี้เลย
จงมีชีวิตที่ตื่นรู้ สัมผัสกับปาฏิหาริย์แห่งการมีชีวิตอยู่ในทุกขณะ ใช้เวลาทุกลมหายใจให้เป็นสุข เพราะชีวิตและเวลาของการเป็นมนุษย์เปรียบเสมือนสายน้ำ ที่ไม่สามารถย้อนกลับมาสัมผัสได้อีก เมื่อผ่านแล้วย่อมผ่านเลยไป
ขอให้ประติมากรรมชิ้นเอกทุกท่าน มีความสุขทุกลมหายใจ ….
ที่มา : โพสต์ทูเดย์