เหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว วาตภัย อุทกภัย คลื่นยักษ์สึนามิ และอีกสารพัด ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วนับไม่ถ้วน หากติดตามข่าวสารเป็นประจำจะพบว่าเหตุการณ์ยิ่งนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น สาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเราไม่สามารถคาดการณ์หรือทำนายล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำว่า เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในเวลาใด เพื่อจะได้เตรียมการรับมือได้อย่างทันท่วงที
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ชาวโลกประสบภัยธรรมชาติครั้งใหญ่หลายครั้ง ที่ยังอยู่ในความทรงจำก็คือ เหตุการณ์สึนามิถล่มหลายประเทศรวมทั้งไทยเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ พายุไซโคลนนาร์กีสถล่มพม่าเมื่อปี ๒๕๕๑ แผ่นดินไหวที่เมืองหลวงของเฮติเมื่อต้นปีที่แล้ว และล่าสุดเหตุการณ์แผ่นดินไหวพ่วงสึนามิถล่มเมืองเซ็นไดของประเทศญี่ปุ่น ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกเราอยู่ในขณะนี้ ตามมาด้วยอุทกภัยครั้งรุนแรงทางภาคใต้ของไทย
แต่ความน่าวิตกยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อได้ศึกษาสถิติการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ของโลกแล้วพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่มากครั้งที่สุด และมีแนวโน้มที่จะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้มนุษยชาติได้เตรียมพร้อมรับมือกับ “มหาพิบัติภัยธรรมชาติ” ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
นี่ยังไม่รวม ทฤษฎีวันสิ้นโลก ที่กำลังฮือฮาอยู่ในขณะนี้ ที่หลายสำนักต่างประโคมข่าวการทำนายถึงภัยพิบัติของโลก ถึงขั้นที่ว่าวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ คือ วันโลกาวินาศ หรือวันสิ้นโลกกันเลยทีเดียว!!!!????
ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใน กาลามสูตร ที่พระองค์ไม่ให้เชื่อถืองมงายไร้เหตุผลตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการ ๑ ฟังตามกันมา, ๒ ด้วยการถือสืบๆ กันมา, ๓ ด้วยการเล่าลือ, ๔ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์, ๕ ด้วยตรรก, ๖ ด้วยการอนุมาน, ๗ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล, ๘ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน, ๙ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ ๑๐ เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา; ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
สรุป คือ พระพุทธองค์สอนให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองและไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท เพราะแม้ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าเหตุการณ์ “มหาภัยพิบัติธรรมชาติ” จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไร แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ “ไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท”
พูดถึงภัยพิบัติต่างๆ แล้วก็นึกถึง “พระอุปคุต” ซึ่งในตำนานเล่าว่า “พระเถระอุปคุต” ซึ่งเป็นพระอรหันต์หลังสมัยพุทธกาล เป็นชาวเมืองปาตลีบุตร บิดาท่านเป็นพ่อค้าน้ำหอม พระอุปคุตได้ช่วยดูแลขายเครื่องหอมซึ่งขายดีมาก ต่อมาได้ตัดสินใจบวชตามสัญญาที่พ่อท่านให้ไว้กับพระสาณวาสีเถระ เมื่อบวชแล้วได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ โดยเฉพาะเทศนาของท่าน แม้ในวันเดียวกันก็ทำให้พระภิกษุจำนวน ๑๘,๐๐๐ รูปได้บรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า ต่อไปภายหน้า พระอุปคุตผู้เป็นพุทธสาวกของเรา ตถาคต จะเป็นผู้ทำพุทธกิจต่อจากตถาคตสืบถึง 5,000 พระวัสสา (ปี) พระอุปคุตท่านมีปฎิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว ขึ้นในท้องทะเลหลวง( สะดือทะล ) เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุติสุขอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จะออกสมาบัติขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์ ในวันเพ็ญพุธยามเที่ยงคืน แล้วจะลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้ว ตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัย เกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ
ด้วยศรัทธาในฤทธานุภาพของพระอุปคุต ทางกลุ่มเพ็ญพุธประจวบคีรีขันธ์ และเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ จึงได้ร่วมกันจัดตั้งกองผ้าป่าสามัคคีขึ้น เพื่อนำจตุปัจจัยเป็นกองทุนจัดสร้างองค์พระหลวงปู่อุปคุตและศาลาประดิษฐาน ไว้บริเวณหน้าเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล ส่งเสริมประเพณีการตักบาตรเพ็ญพุธ และเป็นที่สักการบูชา ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวประจวบคีรีขันธ์และประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดสร้างดังกล่าวไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการ จึงได้เชิญชวนผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา ซึ่งจะมีการถวายผ้าป่าสามัคคีในวันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ บริเวณหน้าเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ติดถนนเลียบชายทะเล โดยจะมีการบวงสรวงเทพยดาบูชาฤกษ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ และพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันเดียวกัน
โดยประธานฝ่ายสงฆ์ คือ พระเทพสิทธิวิมล เจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ พระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประธานอุปถัมภ์ คือ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานคณะทำงานโครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย ส่วนประธานฝ่ายฆราวาส ได้แก่ ร้อยตรีอำนวย ไทยานนท์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ / อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะที่ประธานอำนวยการและดำเนินงาน คือ สุทธิชัย เกตุรักษา นายกเทศมนตรีเมืองประจวบคีรีขันธ์
ความกว้างหน้าตัก 59 นิ้ว หล่อด้วยดีบุกและทองแดงเพื่อให้ทนกับไอทะเล
นอกจากนี้ การร่วมบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ยังถือเป็นการทำความดีน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ อีกด้วย
ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตาม ประเทศไทยโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีผู้มีบุญบารมีลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญเพียรหรือสะสมบุญบารมีอยู่มาก และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองดูแลรักษาชาวพุทธและประเทศไทย เพื่อให้พระศาสนาดำรงอยู่จนตลอดอายุพระศาสนาคือ ๕,๐๐๐ ปี
แต่เพื่อความไม่ประมาท ขอฝากข้อคิดเตือนใจให้ทุกท่านว่า “ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีล ๕ ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล”
สำหรับผู้สนใจร่วมทำบุญสร้างองค์พระหลวงปู่อุปคุตและศาลาประดิษฐาน เชิญบริจาคที่บัญชี: ดนัย จันทร์เจ้าฉาย (ทศบารมี) ธนาคารกรุงเทพ สาขาเพลินจิต บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 205-0-408943 พร้อมส่งแฟกซ์สลิปมาที่ 02-610-2345-6 หรือประสงค์ร่วมเดินทางไปในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม โทรฯ สอบถามรายละเอียดที่ 02 6102364