สัปดาห์ก่อน ผมมีโอกาสเข้าพบ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในโอกาสนำคณะเยาวชนทูตความดี 8 คน ตัวแทนจากสี่ภาคของโครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย ปี 2 ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนอนาคตประเทศไทย ด้วยหัวใจเยาวชน” เข้าเยี่ยมคารวะและรับฟังโอวาท ก่อนจะเข้าปฏิบัติภารกิจใน “บ้านความดี”
ทุกท่านคงทราบดีว่า ดร.สุเมธ เป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาอย่างใกล้ชิดและยาวนาน โดยการเข้าพบครั้งนี้ท่านได้เล่าเรื่องราว แบ่งปันประสบการณ์ ให้ข้อคิดในการปฏิบัติตน และกระตุ้นให้คนไทย โดยเฉพาะเยาวชน ให้ตั้งใจทำความดี เป็นคนดีของสังคม รู้จักการให้ทานและบริจาคเพื่อส่วนรวมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ท่านบอกว่า “การทำความดีก็เหมือนเล่นกีฬา ต้องทำให้สนุกและหมั่นทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย ซึ่งจะปลูกฝังการทำความดีนั้นอยู่ในจิตใจตลอดไป”
ผมเพิ่งทราบในวันนั้นเองว่า ดร.สุเมธ เคยบวชมาแล้วถึง 4 ครั้ง เรียกว่าเป็น “ชายสามโบสถ์” ตัวจริง ด้วยความที่ถูกปลูกฝังในเรื่องของการปฏิบัติภาวนา ถึงปัจจุบันนี้ ดร.สุเมธ บวชเณร 1 หน และบวชพระมาแล้ว 3 หน
บวชเณรครั้งแรกตอนอายุ 4 ขวบ คือ บวชหน้าไฟคุณทวด เมื่อบวชแล้วไม่ยอมสึก จนผู้ใหญ่ต้องหลอกล่อต่างๆ นานา ว่าสึกแล้วเดี๋ยวค่อยบวชใหม่ จึงยอมสึกแต่โดยดี แต่ก็ร้องไห้
บวชพระครั้งแรกที่วัดยาง จ.เพชรบุรี บวชตามประเพณีชายไทย คือ อายุ 20 ปีครบบวชแทนคุณบิดามารดา บวชได้เพียง 2 เดือนกว่าไม่ครบพรรษาก็ต้องสึก เพราะว่ามหาวิทยาลัยเปิดต้องกลับไปเรียน
“บวชครั้งนั้นสมองยังไม่สุก ได้อะไรไม่มากนัก แต่ก็ได้ไปเทศน์โปรดพ่อแม่ตามประเพณี เวลาที่สึกแล้วถูกดึงผ้าเหลืองออกจากตัวคล้ายอะไรบางอย่างได้หลุดลอยไปด้วย”
บวชครั้งที่ 2 บวชที่วัดบวรฯ กรุงเทพฯ เพื่อถวายแด่ในหลวงที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา เรียนธรรมะที่วัดบวรฯ ก่อนที่จะไปจำวัดที่วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี 1 เดือนได้รับฉายาว่า พระตันติสุเมโธ
“บวชตอนนั้นปักกลดอยู่ในป่าหลังวัด ฉันมื้อเดียว ปฏิบัติกิจเช่นพระป่า ได้อะไรมาเยอะมาก ก็ติดใจว่ามีโอกาสจะต้องบวชอีก”
บวชครั้งที่ 3 บวชที่วัดพระราม 9 กรุงเทพฯ เมื่อปี 2544 แล้วไปจำวัดที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
“การบวชครั้งนั้นทำให้รู้สัจธรรมว่า ร่างกายต้องการอาหารน้อยนิด กินแบบอดอยาก มีน้ำตาลน้อยลง ไขมันก็ไม่อุดตัน ร่างกายก็แข็งแรง แม้ว่าน้ำหนักจะหายไปถึง 8 กก. ไม่ต้องมาอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี มีผ้านุ่งเพียง 4 ผืนกับบาตรเท่านั้น ทำให้ซึ้งสัจธรรมอีกข้อว่า ชีวิตเราเกิดมาจากการขอ อยู่ได้ด้วยความเมตตา มีความสุขที่สุดจากคนที่ไม่มีอะไร”
ครั้งจำวัดอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร เป็นวัดป่า ไม่มีไฟฟ้าใช้ อยู่กับธรรมชาติ ได้เรียนรู้ว่าคนเราทุกวันนี้ทำอะไรฝืนธรรมชาติ อยู่ในเมือง มีไฟฟ้า มีแสงสว่างตลอดเวลา มีสิ่งล่อตาล่อใจ ตกกลางคืนก็ไม่ยอมหลับนอน สุขภาพแย่ไปหมด เหมือนไก่ที่ถูกเลี้ยงในโรงเลี้ยงที่เปิดไฟตลอด ถูกหลอกให้กิน ให้ใช้ชีวิตที่ผิดธรรมชาติ เขาขุนแป๊บเดียวก็จับไปเชือด
“เคยเรียนท่านเจ้าอาวาสว่าวัดไม่มีไฟฟ้าใช้ เดี๋ยวจะหามาติดตั้งให้ เพื่อจะได้อำนวยความสะดวก ท่านบอกว่าไม่ต้องการ ท่านต้องการให้อยู่กับธรรมชาติ เพราะอยู่กับธรรมชาติดีที่สุด จะได้มีเวลาพิจารณาตัวเอง”
“ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ธรรมดา ทำตัวให้ธรรมดา มันไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดเวลา ชนะอะไรก็ไม่เท่าชนะใจตัวเอง ชนะจากสิ่งยั่วยุ ชนะจากกิเลส อย่าไปหลง ยึดติดกับยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่ง เครื่องราชฯ”
ดร.สุเมธ บอกว่าท่านได้มาหมดแล้ว ทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ เครื่องราชฯ สายสะพาย จิปาถะ ทุกอย่างมีราคาหมด แต่สุดท้าย เวลาตายก็เอาไปด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดอะไรมาก อย่าไปแยแสคน อย่าไปแก่งแย่งชิงดี
เพราะสุดท้าย คนเราเกิดมายังไง ก็กลับไปยังงั้น เหลือแต่ความดีที่ยังอยู่!!!
สุดท้ายขอฝากบทกลอนโดยน้องเยาวชนทูตความดีที่ได้จากการเข้าพบ ดร.สุเมธ ในวันนั้น
บริจาคเล็กเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ ทศพิธราชธรรมว่าไว้ให้ศึกษา
มีสติ ดูแลตน เพ่งกายา พิจารณา ดำรงชีพ ให้พอเพียง
คอร์รัปชัน มะเร็งร้ายทำลายชาติ อย่ามัวขลาด ว่าเรื่องเขา เราอย่าเฉย
ทำความดี เหมือนกีฬา ฝึกให้เคย ฟังท่านเอ่ย โอวาทมา พาคิดตาม
ขอสัญญา เยาวชน 8 คนนี้ ทูตความดี เป็นตัวอย่าง ทางศึกษา
ตามรอยเบื้อง ยุคลบาท องค์ราชา ขออาสา ขอทำดี ให้พ่อดู
หมั่นเตือนตนเองบ่อยๆ .. มาอย่างไร ก็ไปอย่างนั้น.
ที่มา: ชีวิตรื่นรมย์ โพสต์ทูเดย์ โดย ดนัย จันทร์เจ้าฉาย