หลายคนบอกว่าความสุขอยู่ที่ได้ทำสิ่งที่ชอบ ได้สิ่งที่ต้องการ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้ทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างมีความสุข ฯลฯ ดูเหมือนว่าเราจะต้อง “ได้” อะไรสักอย่างก่อนถึงจะมีความสุขใช่ไหมครับ คนเรามักสร้างเงื่อนไขว่าถ้า…อย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะมีความสุข แต่ที่จริงแล้ว เราสามารถมีความสุขได้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ด้วยใจของเราเอง
ทุกวันนี้ที่คนเราเป็นทุกข์ ส่วนใหญ่ก็เพราะ “อดีต” หรือไม่ก็ “อนาคต” ถามตัวเองดูสิครับว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเรานึกถึงอดีตหรืออนาคตแล้ว เสียใจ หงุดหงิด กังวล หรือเป็นทุกข์บ้างไหม นั่นคือเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน เรานำอดีตที่เป็นทุกข์มาคิดหมกมุ่น นำอนาคตที่ยังมาไม่ถึงมาคิดกังวล โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากนะครับ พอเราหายใจเข้าหรือออก ลมหายใจนั้นก็เป็นอดีตไปซะแล้ว ลมหายใจที่ยังไม่มาก็เป็นอนาคต ชีวิตคนเราก็มีอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้นละครับ ถ้าลมหายใจไม่เข้าหรือไม่ออกก็ตายสถานเดียว
ในแง่นี้ ความสุขจึงอยู่ที่ปลายจมูกของเรานี่เอง หายใจเข้าก็มีความสุข หายใจออกก็มีความสุข มีความสุขเพราะรู้ว่า ณ ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่
ความสุขเกิดจากการมีสติรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ การรู้แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ รู้กายว่าเคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่ง กับรู้ใจว่ากำลังมีความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ ถ้าเราฝึกสังเกตไปจะเริ่มเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อเห็นแล้วก็ให้พิจารณาดูว่า ความรู้สึกนี้เบียดเบียนตนเองไหม เบียดเบียนผู้อื่นไหม ความรู้สึกนี้เป็นไปเพื่อสร้างปัญหาไหม เป็นไปเพื่อความวุ่นวายไหม นักปราชญ์ติเตียนไหม ถ้าใช่ก็รีบเปลี่ยนความคิดทันที อย่าทำร้ายตัวเองด้วยด้วยความคิดความรู้สึกด้านลบอยู่เลยครับ ถ้าไม่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็ไม่เปลี่ยน การมีสัมมาทิฏฐิหรือความคิดเห็นที่ถูกตรงจะทำให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ หากเรามัวแต่คิดวุ่นวายกับอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ย่อมหาความสุขไม่ได้
ในกิจกรรมชมรมคนรู้ใจครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ อธิบายเรื่องการนำอดีตและอนาคตมาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ได้อย่างน่าสนใจมากครับ ท่านขอตัวแทนผู้ฟังออกมา 3 คน ให้เป็น นายอดีต นายปัจจุบัน และนายอนาคต จากนั้นให้นายปัจจุบันนั่งเก้าอี้ ก็ยังเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวก แล้วพระอาจารย์ก็ให้นายอดีตมานั่งบนตักนายปัจจุบัน ทำให้นายปัจจุบันเริ่มจะเคลื่อนไหวลำบาก พอมีนายอนาคตมานั่งทับลงไปอีกคน ทีนี้นายปัจจุบันจะขยับยังไม่ได้เลยครับ รู้สึกหนักอึดอัดจนอยากจะผลัก (ถีบ) ทั้งนายอดีตและนายอนาคตออกไปไกลๆ เลยทีเดียว
ทุกอย่างในชีวิต รวมทั้งความคิดและความทุกข์ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป มีขึ้นแล้วย่อมหายไป บังคับไม่ได้ ไม่เป็นดังใจเรา เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจึงควรทำตัวให้เหมือนต้นไม้ที่รู้จักปรับตัวต้อนรับฤดูกาลต่างๆ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป หน้าแล้งจัดต้นไม้ก็ต้องสลัดใบ มิฉะนั้นจะแห้งตาย หน้าฝนก็ต้องดูดน้ำแต่พอเหมาะไม่ให้เน่าตาย หากเราทำได้อย่างต้นไม้ก็จะได้ปริญญา ปริญญาของต้นไม้คือวงปี ลำต้นที่ใหญ่ขึ้น รากที่หยั่งแน่นขึ้น ส่วนปริญญาชีวิตคือ สามารถเตรียมใจให้พร้อมรับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจนเกินไป และรู้จักปล่อยวาง
คำว่าปัจจุบันในภาษาอังกฤษคือ present คำนี้ยังแปลว่า “ของขวัญ” ได้ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำปัจจุบันให้ดีมันก็จะเป็นของขวัญแก่ตัวเราเอง ท้ายนี้ ขอฝากบทกลอนความสุขประพันธ์โดยพระอาจารย์ประสงค์ให้ทุกท่าน
ดั้นด้นค้นหา สุขไหนหว่าที่ยิ่งใหญ่
หาจนสุดขอบโลก แต่ก็ยังเศร้าโศกภายใน
หาแทบเป็นแทบตาย โถ! อยู่ที่ใจตัวเอง
ขอบคุณค่ะอาจารย์..ทำใจให้อยู่กับปัจจุบันมอบเป็นของขวัญให้ตนเอง..เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา..เตรียมใจพร้อมรับสิ่งต่างๆไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..นึกถึงเพลง Live and Learn ของคุณกมลา ศุโกศลค่ะ
ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องดีดีที่นำมาแบ่งปันค่ะ เพิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับความหมายของคำว่า “Present” และ “ของขวัญ” ความหมายของคำ ๆ นี้มีคุณค่ามากมายต่อชีวิต ณ ปัจจุบันทุกย่างก้าว จริง ๆ
ขอบคุณค่ะที่มีสิ่งดี ๆ มาฝากกัลยาณมิตรตลอดเวลา
ขอนำไปแบ่งปันน่ะค่ะ