ฉบับที่แล้ว “พระ ณ สยาม” ได้นำผู้อ่านไปทำความรู้จักกับผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่ชื่อ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้งคอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด ผู้ที่ได้ชื่อว่า
เติบโตทั้งในทางโลกและทางธรรมชนิดหาตัวจับยาก โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่มักมีเสียงสะท้อนว่า
หาคนดีๆ ทำยายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
ส่วนเรื่องราวของเขาคนนี้จะดีจริงหรือไม่เราอยากให้คุณผู้อ่านทุกคนได้ลองติดตามสัมผัสเรื่องราว
โดยเฉพาะเนื้อหาใน บางเสี้ยวบางเรื่องรับประกันได้ว่ามีแก่นสาระ และหากจะมีใครนำไปต่อยอด
ใช้ในชีวิตประจำวัน บอกได้เลยว่าชีวิตของคน คนนั้นจะพบแต่ความสุขความเจริญทั้งในหน้าที่
และการงานอย่างแท้จริง
การสนทนาของเราในวันนั้นเริ่มต้นตรงจุดเปลี่ยนในชีวิตของคุณดนัยจากเดิม ที่เขาบอกกับเราว่า
เคยขายสินค้าแบรนด์เนม กอบโกยเงินทองเป็นกอบเป็นกำแต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ด้วยการเดินหน้าเข้าหาธรรมะยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธองค์ “จู่ๆ มันเกิดจิตสำนึกขึ้น มาโดยที่ตอนนั้นถือว่า
ประสบความสำเร็จ สูงมากเพราะการขายสินค้าพวกแบรนด์ เนมนำเข้าไม่ต้องออกแรง เรียกว่ากิเลสกับกิเลส
มาร์เก็ตติ้งมันไปได้เร็ว ฤทธิ์มันเยอะมาก โอ้โหรายได้มหาศาลไม่ต้องทำอะไร แม้กระทั่งเป็นตัวแทนขายสินค้า
แบรนด์เนมในประเทศไทยคนก็อยากได้ กันหมด แต่มีความรู้สึกว่าจิตมันบอกตัวเราเองไม่มีใครมาว่าเลย
มันบอกตัวเองว่าเรากำลังทำให้คนไทยฟุ่มเฟือย เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำแม้ว่าเราจะร่ำรวย มันก็หยุด
เลยหยุดแบบกะทันหัน แล้วก็หันมาดูว่าเราจะทำอะไรดี มันก็กลับมาค้น พบว่าเราพิมพ์หนังสือธรรมะ
ออกมามันเป็นประโยชน์ต่อคนรู้สึกว่ามันมีคุณค่ามาก ถึงแม้ว่ากว่าหนังสือจะออกมาได้แต่ละเล่ม
ต้องอ่านแล้วอ่านอีกมันเสียเวลา เล่มหนึ่ง มันก็เล่มละร้อยสองร้อยบาท แต่มันมีความ รู้สึกว่าเราได้ความสุขมากกว่า”
แค่การเกริ่นนำเชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกไม่ต่างจากเราว่าแนวความคิดเช่นนี้จะมีใครสักกี่คนที่คิดได้เช่นเดียวกับเขา
เพราะคนส่วนใหญ่มักจะยึดมั่นนับถือว่าเงินทองเป็นพระเจ้า ดังนั้นจึงคิดแต่จะกอบ โกยกันเยอะๆ
โดยที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรม บางคนร่ำรวยมากมายแต่ ก็ไม่รู้จักพอจนทำให้ชีวิตของตนเอง
และครอบครัวพลอยต้องเดือดร้อน แต่สำหรับ คุณดนัยแล้วไม่ก็คือไม่ เขายังได้ย้อนอดีต ให้เราได้ฟังต่อว่า
แนวคิดที่เกิดขึ้นน่าจะเป็น ผลพวงสมัยที่เรียนอยู่ปี 2 ที่เอแบค แล้วได้มีโอกาสไปกราบท่านพุทธทาส
ที่สวนโมกข์ ซึ่งถือเป็นครูบาอาจารย์องค์แรกของตน ผมได้กราบเรียนถามท่านว่าธรรมะคืออะไร ท่านก็บอกว่า
ธรรมะคือ การทำงาน ธรรมะคือการทำหน้าที่ ธรรมะ คือธรรมชาติ จงทำงานด้วยจิตว่าง ตอน นั้นไม่เข้าใจเลย
จนกระทั่งเกือบ 20 ปีถึงจะเข้าใจ โดยสภาวะเข้าใจโดยการปฏิบัติและเข้าถึงสิ่งที่ท่านได้สอนว่าคือ อะไร
ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เริ่มฟังแล้วก็เริ่มปฏิบัติ แต่ไม่ได้เต็มที่เท่าไหร่ใน 10 ปีแรก แต่ 10 ปีหลังเริ่มจริงจังมากขึ้น
ผมปฏิบัติธรรมทุกวัน ก่อนนอนจะต้องสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ วันหนึ่ง ประมาณ 1-3 ชั่วโมงทุกวัน
โดยเฉพาะ ตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน รวมถึงทุกคนใน องค์กรจะต้องสมาทานศีลห้า สวดมนต์ในตอนเย็น
เป็นประจำ
ถึงบรรทัดนี้เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามที่ตามมามากมายโดยเฉพาะตรงประเด็นเรื่องของการสมาทานศีล
มีด้วยหรือที่จะมีบริษัททำกิจกรรมในลักษณะเช่นนี้ เรื่องนี้ “คุณดนัย” ได้กรุณาเล่าต่อ ให้เราฟัง
อย่างภาคภูมิใจว่า ที่บริษัทมีห้อง ประชุม ซึ่งจะใช้เป็นที่สำหรับการสมาทาน ศีลทุกวัน
ตอนเย็นยังมีการสวดมนต์ทำวัตรเย็น ยืนตรงเคารพธงชาติก่อนเลิกงาน
อันนี้ก็ทำทุกวันเป็นหลักปฏิบัติเลยเพราะว่าถ้าเกิดธรรมะแล้วไม่ได้น้อมนำ เข้ามาสู่ชีวิตก็ไม่มีประโยชน์
แล้วถ้ายังแยกส่วนธรรมะก็ไม่มีประโยชน์ จริงๆ แล้วชีวิตจะแยกออกจากธรรมะไม่ได้นะ เป็นหน้าที่ที่เรา
จะต้องนำธรรมะเข้ามาสู่ทุกจังหวะชีวิต เพราะฉะนั้นการทำงาน เราก็ต้องทำด้วย แล้วถ้าผมมีเวลา
อย่างทุกปีในช่วงปีใหม่ก็จะไปปฏิบัติธรรมข้ามปีประมาณ 12-15 วัน อย่างปีที่ผ่าน มาก็ 15 วัน
ช่วงที่เขาจะไปเคาต์ดาวน์กันเราก็ไปนั่งสมาธิแบบเข้มหรือแบบอุกฤติ และถ้ามีเวลาก็จะไปตลอด
ได้ยินได้ฟังถึงการปฏิบัติต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าชมเชยยิ่งนัก ดังที่ได้เกริ่นมาตั้งแต่ต้นแล้วว่ามีไม่บ่อยนัก
ที่จะได้พบได้ เห็นคนไทยแถมเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง ประการสำคัญยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อว่า
หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังที่ไหนมาก่อนในเรื่องของปูมหลังเมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นมัธยมฯ
มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราไปตามกันต่อ
“ผมอาจจะเป็นคนที่มีพื้นฐานมาแต่ เดิมก็ได้เพราะตั้งแต่สมัยที่เรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมฯที่โรงเรียนหอวัง
จำได้ว่าจะนั่งสมาธิก่อนนอนตลอด นั่งแบบที่ไม่รู้อะไร เลย แถมขณะที่นั่งก็เจ็บปวดทรมาน ขานี่ เป็นเหน็บชา
แต่ก็นั่งเป็นชั่วโมง ไม่รู้สิผมว่ามันอาจจะเป็นของเก่าหรือเปล่าไม่แน่ ใจ ก็คือเราอาจจะเคยทำมาแล้ว”
เรื่องราวของ คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ยังไม่จบนี่เป็นแค่การเริ่มต้นของเรื่อง ทั้งหมด ที่เราเชื่อว่า
จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย ตอนหน้าต้องมาติดตามกันต่อ รับประกันว่ามีสาระอย่างแน่นอน