การพนันในมุมพระพุทธศาสนา : คอลัมน์ ศิลาในน้ำเชี่ยว โดย… ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
เมื่อพูดถึงกีฬายอดนิยมของคนไทย แทบทุกคนคงนึกถึงกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะเป็นลีกของไทยหรือการแข่งขันระดับนานาชาติและระดับโลกต่างก็มีแฟนๆ ที่คอยติดตามอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ล่าสุดคือการ แข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ที่มาพร้อมกับความคึกคักของคอบอลที่ต่างเฝ้าติดตามผล รอชม รอเชียร์ หรือถึงกับอดหลับอดนอนอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เพื่อชมการแข่งขันทีมโปรดกันแบบสดๆ รวมไปถึงเจ้าของสินค้าต่างๆ ที่พร้อมใจกันออกแคมเปญส่งเสริมการขายที่จับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้โดยเฉพาะ แถมด้วยเสียงโอดครวญเกี่ยวกับปัญหา “จอดำ” ที่ยังไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับการแข่งขันกีฬายอดนิยม คือ การแพร่ระบาดของการพนันทายผลบอล ทั้งแบบโต๊ะรับพนันและการพนันออนไลน์ ซึ่งสามารถเข้าถึงคนหนุ่มสาวและเยาวชนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว และอาจเป็นสาเหตุของการก่ออาชญากรรมต่างๆ ตามมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ตั้งศูนย์ปราบปรามการพนันฟุตบอลยูโร ขึ้นมาโดยเฉพาะ และมีการจับกุมเจ้ามือรับแทงผลบอลและนักพนันปรากฏเป็นข่าวให้เห็นกันทุกวัน
น่าแปลกที่ว่า ทั้งๆ ที่ไม่มีใครตอบได้ว่ามีใครบ้างที่ร่ำรวยได้อย่างยั่งยืนจากการพนัน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่หวังพึ่งโชคชะตาและคิดว่าการพนันจะช่วยให้ตนมีรายได้มากขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้น นำมาซึ่งความสุขสมปรารถนาในชีวิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่าความสุขมี 3 ระดับ คือ สุขในชีวิตนี้ สุขในโลกหน้า และสุขในพระนิพพาน ความสุขในชีวิตนี้เกิดจากการมีทรัพย์ การจ่ายทรัพย์ ความไม่เป็นหนี้และความประพฤติที่สุจริต สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ เราต้องละเว้นทางแห่งความเสื่อม หรือ อบายมุข 6 ประการ คือ
1. ชอบดื่มน้ำเมา
2. ชอบเที่ยวกลางคืน
3. ชอบดูการละเล่น
4. เล่นการพนัน
5. คบคนชั่วเป็นเพื่อน
6. เกียจคร้าน
อบายมุขทั้ง 6 ประการนี้ยังมี ความสัมพันธ์กับหลักอบายมุข 4 หรือการทำบาปกรรมโดยฐานะ จากการเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน และคบคนชั่ว เป็นมิตร จะเห็นได้ว่า การพนันเป็นหนทางแห่งความเสื่อมอย่างแท้จริง เพราะการติดการพนันมีโทษ 6 ประการคือ 1) ผู้ชนะย่อมก่อเวร คือทำให้เกิดการสูญเสียและผูกใจเจ็บ 2) ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป 3) เกิดความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน 4) ถ้อยคำของ ผู้เล่นการพนันไม่มีใครเชื่อถือ 5) เป็นที่ดูหมิ่นดูแคลน 6) ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย เพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่ยากจะรักษาทรัพย์ไว้ดูแลครอบครัวได้
แม้แต่ การชนะพนันก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง เลยนะครับ เพราะในขณะที่เรากำลังดีใจกับเงินหรือทรัพย์ที่ได้มาจากการพนัน เรากำลังทำบาปกรรมอย่างไม่รู้ตัวด้วยการทำให้ผู้เสียพนันเป็นทุกข์ และหากเราจะเล่นพนันต่อไปอีกก็ย่อมทำให้คนรอบข้างวิตกกังวลด้วยเช่นกัน
นอกจากการละเว้นทางแห่งความเสื่อมเหล่านี้แล้ว พระพุทธเจ้ายังได้ทรงชี้ทางแห่งความสุขและเหตุให้ได้มาซึ่งทรัพย์ ประกอบด้วย การมีความขยันหมั่นเพียรในการเรียนและการทำงาน รู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้ คบคนดีเป็นเพื่อน และเลี้ยงชีพพอควรแก่รายได้
และเมื่อมีทรัพย์แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงแนะแนวทางการใช้ทรัพย์ที่หามาได้ โดยสุจริตชอบธรรมอย่างเหมาะสม แบ่งออกเป็น 5 ประการ คือ 1) ใช้บำรุงเลี้ยงตนเอง ครอบครัวและบ่าวไพร่ 2) ใช้เลี้ยงดูมิตรสหาย 3) ใช้ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ 4) ใช้ทรัพย์ทำพลี คือ บำรุงญาติ ต้อนรับแขก ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรเป็นต้น และทำบุญอุทิศให้แก่เทวดา เพราะเทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้นด้วย และ 5) ใช้ทรัพย์นั้นในการให้ทานแก่ผู้มีศีล ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ และผู้ปฏิบัติเพื่อความหมดจดจากกิเลส
ทีนี้ก็อยู่ที่เราแล้วที่จะพิจารณาว่า ทางใดจะเป็นการรักษาทรัพย์ที่มีอยู่เอาไว้ให้อยู่กับเราไปนานที่สุด และสามารถนำไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ทั้งกับตนเอง คนรอบข้าง และสังคม
จะสนุกกับการดูบอลก็ไม่ว่ากันครับ แต่อย่าหลงไปเล่นการพนันเป็นอันขาด!
โดย… ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ที่มา : คม ชัด ลึก
แต่ในบางมุมมองนั้น คนที่มาเล่นพนันเขาก็ ยินยอม เวลาเขาเสียเงิน เขาก็เสียด้วยตัวเขาเอง ตัดสินใจเอง
และมีบางคนที่รวยมากๆจากการเล่นพนันก็มี อาทิ ตลาดหุ้น นักเก็งกำไร แต่มีสติ รู้วเสียแล้วควรหยุด ถ้าได้ค่อยเล่นต่อ คนเหล่านี้ รู้ว่าพนันอันตราย จึงไม่ถลำลึก และมีกำไรได้จริง ทั้งได้ความสนุกสนานอย่างมากอีกด้วย ทั้งหมด คือ สิ่งที่เขายอมรับ ยอมได้เองเสียเอง