หากเอ่ยถึง ‘ดนัย จันทร์เจ้าฉาย’ นักการตลาดมักจะนิยามให้เขาเป็น ‘ผู้บริหารหัวใจธรรมะ’ ที่หยิบจับกลยุทธ์ธุรกิจสีขาว ‘White Ocean Strategy’ ที่มุ่งมั่นจะสร้างสรรค์การตลาดในเชิงสัมมามาร์เก็ตติ้ง งดเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจอบายมุขทุกประเภท ด้วยการใช้กลยุทธ์ ‘ธรรมะจัดสรง’ ดึงลูกค้าดีๆ และองค์กรดีๆ มาผนึกกำลังให้เป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง
อีกแง่มุมหนึ่งในโลกออนไลน์ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย คือคุณลุง คุณอา เป็นทั้งพี่ และที่ปรึกษา ผู้คอยให้กำลังใจและคำแนะนำแก่คนที่กำลังท้อแท้และมองหาแสงสว่างในชีวิต ดูจากยอดกดไลท์ในแฟนเพจที่มากกว่า 5 หมื่นคน ก็ทราบว่ากำลังใจจากชายผู้นี้มีค่าแก่ผู้คนในสังคมนี้มากแค่ไหน
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ในวัยเกือบ 50 ยังคงมองชีวิตเป็นเหมือนเกม ที่ยังต้องตรวจตราตัวเองอยู่เสมอ “ถ้าเกมยังไม่จบ ชีวิตเราก็ไม่หมดหวัง” ถึงแม้ว่าชีวิตที่อยู่ในเกมของการทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาและประชาสัมพันธ์ บริษัท DC รวมถึงการเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักพิมพ์ DMG ที่ดูเหมือนจะดึงเวลาชีวิตเขาเกือบครึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยละเลยที่จะแบ่งเวลาอีกส่วนมอบคืนความดีแก่สังคมด้วยการก่อตั้ง สำนักงานทูตความดีแห่งประเทศไทย ผลักดันรายการ The Ambassador ทูตความดีปลุกพลังเด็กทั่วประเทศขึ้นมาให้ทำความดี และงานที่แซงหน้าทุกงานคืองานบรรยาย จนถึงวันนี้เขาเดินทางไปบรรยายให้ความรู้ทั่วทุกหัวระแหงของประเทศไทยมาแล้วเป็นครั้งที่ 385
ชีวิต ณ ปัจจุบันขณะ จัดวางสัดส่วนของชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัวไว้อย่างไร
“ชีวิตเหมือนเป็นวงล้อ มีหลากซีก เราก็ต้องหาสมดุล ให้ความสำคัญพอๆ กันทุกเรื่อง ทั้งเรื่องของการพักผ่อน การออกกำลังกาย การงาน การรับประทานอาหาร แล้วก็เรื่องของการทำสมาธิด้วยสมาธิทำทุกวัน วันละชั่วโมงเป็นอย่างน้อย บางวัน 3 ชั่วโมง หลายคนสงสัย ทำไมเรามีเวลาว่างมากกว่าคนอื่น เราก็รู้สึกว่าเรามีเวลาว่างมากกว่าคนอื่นด้วยนะ วันๆ หนึ่งได้ทำอะไรเยอะมาก รู้สึกมีความสุขมากเลย เราจะรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวันเพื่อให้มันลงตัว ต้องดูแลทั้งร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ต้องให้ไปด้วยกันทั้งสามสิ่ง และต้องไม่แยกกัน อย่างที่ทำงาน (DC) พนักงานทุกคน ตอนเช้าต้องสมาทามศีล 5 ก่อนเริ่มทำงาน แล้วก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ตอนเย็นมีเคารพธงชาติ สวดมนต์ก่อนกลับบ้าน ทำทุกวันเป็นประจำ เพราะฉะนั้นเราก็หลอมรวมชีวิตด้านธรรมะ เรื่องของจิตวิญญาณ เข้ากับเรื่องของการทำงานได้”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนถูกสร้างมาจากพลังของ…..ลมหายใจ
ด้วยหน้าที่การงานมากมาย ทั้งงานบรรยาย งานที่บริษัท มีวิธีจัดระเบียบสิ่งที่อยู่รอบตัวด้วยวิธีไหน
“อันนั้นเป็นจุดเด่นข้อหนึ่งของผมเลยครับ คนที่จะรู้สึกว่าทำไมผมดูเหมือนกับเป็นคนไม่ได้ทำงาน แต่จริง ๆแล้วงานเยอะมาก แต่เราไม่เคยแบกไว้เลย บางทีงานก็ปัญหาเยอะ แต่เราเอามันลงไปได้ เคล็ดลับคือเรามีลิ้นชักหลายลิ้นชัก แล้วเราสามารถที่จะเก็บ จัดระเบียบไว้เป็นหมวดหมู่ อย่างเราไปออกกำลังกายเราก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่น ทำใจให้ว่าง ชีวิตที่ว่างคือชีวิตที่มีพลัง เหมือนแก้วที่ว่างก็ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแก้วที่เต็ม พื้นดินที่ว่าง ลิ้นชักที่ว่าง ห้องที่ว่างมันสามารถสร้างสรรค์ได้มากกว่าห้องที่รก ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าเราทำจิตใจเราเหมือนแก้วน้ำที่ว่างเปล่าไม่มีอารมณ์ความคิดความรู้สึกเข้าไป เหมือนไม่มีน้ำอยู่ในแก้ว จิตใจนั้นในภาษาธรรมะเรียกว่าเป็นจิตประภัสสร คือจิทที่ใจสว่างและมีพลัง ผมมีความเชื่อต่อเรื่องนี้มากกว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่อที่จะสร้างแสงสว่างให้ตัวเองชีวิตเราต้องใสและมันก็จะมีความสว่างมากขึ้น เมื่อเราสว่างแล้วเราก็จะสามารถส่งให้พืช สัตว์ และอื่นๆ ได้ ผมเขียนโพสต์ในเฟสบุ๊คว่า จงเป็นแสงสว่างที่เราสามารถจะส่องออกมาให้มากที่สุด และอย่าปิดไฟใส่ผู้อื่น การปิดไฟก็คือการที่เราหยุดทำความดี หยุดคิดดี พูดดี ชีวิตที่อับเฉาแสงเราอยู่ไม่ได้ เพราะชีวิตทุกชีวิตบนโลกล้วนต้องการแสงสว่าง พืชต้องการมั้ย? สัตว์ต้องการมั้ย? สิ่งมีชีวิตล้วนต้องการแสงสว่าง เพราะฉะนั้นแสงสว่างก็คือตัวเรา”
วิธีจัดการกับปัญหาในแบบของตัวเองคือ…
“ชอบนะ เป็นคนชอบปัญหา มองปัญหาแล้วไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ผมพูดบ่อยๆ ว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางทุกข์โดยไม่เป็นทุกข์ อยู่ท่ามกลางทุกข์โดยเป็นสุข เหมือนดอกบัว ดอกบัวจะงามได้เพราะโคลนตม ดอกบัวไม่สามารถงามได้ด้วยตัวดอกบัวเอง ฉันใดก็ฉันนั้น ขีวิตคนเราจะมีความสุขและประสบความสำเร็จได้ก็จากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา และเราสามารถจะเรียนรู้ จริงๆ แล้ว ‘ปัญหา’ มันจะกลายเป็น ‘ปัญญา’ มันมีสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะชอบอยู่กับปัญหา เผชิญปัญหา แก้ปัญหา แต่ไม่เป็นปัญหา เห็นปัญหาโดยไม่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้น และชอบหาทางออก คือจะไม่พูดถึงมันบ่อยๆ จะรับรู้ว่าปัญหาคืออะไร จะถามทันทีว่าจะแก้ไขอย่างไร คนเราต้องมีทางออก 1-10 ถ้ายังหาทางออกไม่เจอ ก็ไป 11-20 แล้วมันคือความสนุก มันคือความท้าทาย มันคือโปรตีนของชีวิต ปัญหามันคือโปรตีน ความสำเร็จเท่ากับน้ำตา สำเร็จมากๆ เหลิงมั้ย คิดว่าเก่งมั้ย เพราะฉะนั้น คนที่ได้รับคำชมบ่อยๆ แล้วคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จก็ไม่สามารถที่จะก้าวไปได้ต่อ แต่ปัญหามันทำให้เรามีความแกร่ง มันคือบททดสอบความเป็นมนุษย์ มนุษย์เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะผ่านบททดมอบของชีวิต ปัญหาก็คือบทบาททดสอบทั้งหมด และทุกคนเจอหมด แม้ว่าจะเกิดมาเป็นอะไรก็ตาม”
นำหลักธรรมให้เข้ามาอยู่รวมกับวิถีทางการตลาดได้อย่างไร
“มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ การตลอดแบ่งเป็น มิจฉามาร์เก็ตติ้งกิเลสมาเก็ตติ้ง อันนั้นคือระบบทุนนิยม วัตถุนิยม คือเรื่องของความโลภ อยากได้ อยากมี อยากเป็น ถามว่าต้องการคนแบบนั้นมั้ยก็ต้องการอยู่แล้ว กิเลสชนกิเลสมันไปเร็วมาก แต่ในทางกลับกัน เราสามารถที่จะพลิกจาก ‘กิเลสมาร์เก็ตติ้ง’ เป็น ‘สัมมามาร์เก็ตติ้ง’ ได้มั้ย ได้… ทุกสิ่งทุกอย่างมันสามารถใส่คำว่า ‘สัมมา’ สัมมาคือสิ่งที่ถูกที่ควร ทางที่ควรเดิน และเราเป็นคนที่นำเสนอคำนี้ออกมา เราเป็นคนที่จบการตลาด เราต้องใช้ความรู้ที่ได้จากครูบาอาจารย์มาทำสัมมามาร์เก็ตติ้งไม่ทำให้เกิดกิเลสมาร์เก็ตติ้งกับลูกค้า”
ธรรมะเข้ามาในชีวิตตั้งแต่เมื่อไรและเข้ามาได้อย่างไร
“ตอนเด็กๆ เราก็เข้ามาแค่ระดับผิว คุณพ่อคุณแม่ก็พาไปกราบพระไปให้พระเป่ากระหม่อม รู้จักการทำบุญทำทาน เราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น เริ่มนั่งสมาธิมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนหอวังนั่นเอง ก่อนนอนก็จะนั่ง แต่จุดที่ทำให้เรารู้สึกคลิก ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าน่าสนใจมากก็คือ ตอนอายุ 17 ที่เราไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ Clayton High School สหรัฐอเมริกา สังคมอเมริกาาที่เราไปอยู่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เราเตรียมข้อมูลเรื่องพระพุทธศาสนาไปบรรยายให้ชาวต่างชาติฟัง เวลาไปนำเสนอ เขาอาจจะสงสัย เขาอาจจะทึ่ง แต่คนที่สงสัยและทึ่งมากที่สุดก็ตัวเอง ว่าธรรมะนี้คืออะไกันแน่ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าพระพุทธเจ้าคือที่สุดแล้ว เท่มาก เรารู้สึกภูมิใจมาก เราพูดอะไรไปฝรั่งอ้าปากค้าง เพราะพุทธศาสนายิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์กำลังวิ่งไล่ตามพระพุทธศาสตาอยู่เป็นพันๆ ปี เราก็รู้สึกว่าเราเท่มาก ไปบรรยายแล้วฝรั่งเข้าก็ทึ่ง และสุดท้ายคือเราบอกว่า ยูไม่ต้องเชื่อให้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วถึงให้เชื่อ นั่นคือจุดเริ่มต้นว่าทำไมเราถึงสนใจ กลับมาที่เมืองไทยเรียนเอแบคปีสอง นั่งรถไฟไปสวนโมกข์ 10 ชั่วโมง ไปกราบท่านพระพุทธทาสภิกขุแล้วให้ท่านสอนธรรมะ ”
อย่าปิดไฟใส่ตนเองและอย่าปิดไฟใส่ผู้อื่น
การปิดไฟก็คือการที่เราหยุดทำความดี หยุดคิดดี พูดดี
จะเริ่มต้นเข้าถึงธรรมะอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร
“เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดเลย ขอให้เรามีความสุขทุกลมหายใจ หายใจเข้า หายใจด้วยความสุข ด้วยความรัก เราต้องรักตัวเองก่อน หายใจออก หายใจด้วยการให้ เป็นพลังงานให้ ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย นี่คือการปฏิบัติอย่างเบื้องต้น หายใจเข้า รู้ หายใจออก รู้ลักษณะการหายใจสั้นหรือยาว ลมหายใจบ่งบอกคุณภาพชีวิตนะ คนเราโดยปกติหายใจต่อนาที 18-24 ครั้ง แต่ถ้าเราฝึกโยคะการหายใจจะช้าลงเหลือแค่ 12 ครั้งต่อนาที นั่งสมาธิจะเหลือแค่ 6 ครั้งต่อนาที ยิ่งหายใจช้ายิ่งดี สัตว์ที่อายุยืนยาวลักษณะการหายใจจะช้ามาก สัตว์ที่มีอายุสั้นกระต่าย หนู แมว หมา นาทีหนึ่งหายใจเร็วมาก เขามาเร็วไปเร็ว ฝึกโยคะทำให้ชีวิตมีคุณภาพ ปอดของเราที่จะสามารถรองรับออกซิเจน 2500 ซีซี รับได้เต็มปิด ร่างกายจะแก่เร็วมากถ้าไม่มีออกซิเจนเข้าไปฟอกร่างกาย ถ้าหายใจเป็นร่างกายจะแก่ช้า จะเยียวยารักษาตัวเองดีที่สุด คนที่หายใจเป็นปกติรู้ว่าหายใจเข้าหายใจออก จะแก่ช้ากว่าคนทั่วไป 15 ปี หน้าตาสดใส มีออร่า เพราะร่างกายสูบฉีดดี ออกซิเจนดี ผิวพรรณดี แล้วมันบอกถึงคุณภาพชีวิตด้วย หายใจเข้าสั้น หายใจออกยาว ที่คือลมหายใจของมนุษย์ เวลาเราหายใจเข้ายาวหายใจออกสั้นเมื่อไหร่แสดงว่าเราใกล้หมดอายุขัยแล้ว ชีวิตเราอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับลมหายใจ เรามาสู่โลกใบนี้เรามาพร้อมกับลมหายใจ เราก็จะไปกับลมหายใจ เรามีชีวิตอยู่แค่ลมหายใจเดียว ฉะนั้นเคล็ดลับที่จะให้กับทุกคนคือ ให้มีความสุขอยู่กับลมหายใจ เพราะเรามีชีวิตอยู่แค่ 1 ลมหายใจ บันไดแห่งสติ ประตูแห่งพระนิพพานให้รู้ลมหายใจก่อนแล้วถามว่ามีใครบ้างไม่รู้ลมหายใจตัวเอง มีใครบ้างที่จะไม่ยุ่งจนไม่รู้ลมหายใจ จะต้องหยุดทำงานเพื่อมาหายใจมั้ย ไม่ต้อง จะนั่งจะนอนก็ต้องหายใจ แต่ไม่เคยรู้ตัวว่ากำลังหายใจ นั่นคืออาการของคนขาดสติ ไร้สัมปะชัญญะ พอสติเข้าไปรู้ลมหายใจปั๊บ จิตที่รู้ลมหายใจจะสลัดความคิดออกโดยอัตโนมัติ
…คนเราอยู่กับความคิดจรโดยส่วนใหญ่ ความที่ไม่ค่อยดี ไม่ตั้งใจที่จะคิด คิดนู่นคิดนี่ ยิ่งคิดมากยิ่งไม่มีพลัง ยิ่งคิดหาทางออกยิ่งหาทางออกไม่เจอ ยิ่งคิดมากยิ่งไม่มีพลัง ยิ่งคิดหาทางออกยิ่งหาทางออกไม่เจอ การคิดที่ดีที่สุดคือในสภาวะของการไม่คิด คิดผ่านจิตใต้สำนึก คิดดีที่สุด เหมือนน้ำที่ว่างเปล่า พอมีอะไรที่หยดลงไปเราเห็นทันทีนั้นคือ Solution การปิ๊งแว๊บ นั่นคือปัญญาญาณเวลาที่คนเขาจะคิดอะไรใหม่ๆ เขาไม่ใช้ความรู้ชุดเดิมนะครับ ความรู้ชุดเดิมคือความคิดที่เราคิดอยู่เป็นประจำ นั่นคือแพทเทิร์น สมองซีกซ้าย นั่นคือธรรมชาติของสัตว์ สัตว์จะอยู่กับแพทเทิร์น มนุษย์ไม่ใช่นะ อยู่สมองซีกขวา การรู้ คิดกับรู้คนละอันนะ เวลาที่เราคิดเราจะรู้ไม่ได้ มันต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง สรุปพระพุทธศาสนาก็คือ ผู้รู้ ไม่ใช่ผู้คิด รู้ ตื่น เบิกบาน พอเรารู้ปั๊บเราตื่น ตื่นมาจากความคิดแล้วเราจะมีความเบิกบานมีความผ่องใส เพราะฉะนั้นสังเกตเลยว่า คนที่เขาปฎิบัติธรรมส่วนใหญ่จะมีบุคลิกร่าเริงแจ่มใสเพราะไม่ได้อยู่กับความคิด อย่างเมื่อสักครู่ที่ถามว่ามีเทคนิคการวางลงยังไง คือต้องอยู่กับการรู้สึกตัว ฟังดูง่ายแต่จริงๆ ก็ทำได้ง่าย ยืน เดิน นั่งนอนก็ทำได้ ฟังเสียงความคิดตัวเอง คนส่วนใหญ่อยู่คนเดียวตามลำพังไม่ได้ นั่นคือคนที่ไม่เคยฝึกธรรมะ ต้องอยู่กับผู้คน หรือถ้าอยู่บ้านคนเดียวก็ต้องเปิดทีวี ซึ่งไม่ได้ดู แต่ขอให้มันมีเสียง รู้สึกว่าเรามีเพื่อน เพราะว่าเราไม่เคยคบสติเป็นเพื่อน แต่คนที่ปฏิบัติธรรมเขาอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่เหงา เพราะเราสามารถอยู่กับหัวใจตัวเองได้ สื่อสารกับหัวใจตัวเองได้”
องค์กรภายใต้การดูแลของคุณได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่เต็มไปด้วยความสุข คุณมีเคล็ดลับในการบริหารองค์กรอย่างไร
“มันก็มาจากปรัชญาชีวิตเราเองว่า ขอมีความสุขในชีวิตทุกลมหายใจ เราหายใจมากที่สุดก็หายใจในบริษัท เราก็เอาความสุขตรงนั้นมาสู่องค์กรเรา บางทีชีวิตของเรามันแบ่งเสี้ยวไม่ได้ เราก็เลยเอาปรัชญาตรงนั้นมาใส่ในการทำงาน ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน คนเราทำงานได้ดีกว่าในสภาวะที่มีความสุข ความคิดสร้างสรรค์มันจะออกมาเอง ถ้าเกิดเครียดบรรยากาศมาคุมันจะทำงานกันได้ไง ชีวิตมันคือเรื่องขำๆ ชีวิตมันสั้นนะ สั้นเกินกว่าที่จะเป็นทุกข์และอยู่กับเรื่องไร้สาระ เราคิดอย่างนั้นตั้งแต่เด็กว่าชีวิตมันจะสั้น ไม่ได้ถึงว่าเราจะตายก่อนวัยอันควรนะ อาจจะอยู่ไปถึง 70 ปี แต่ชีวิตมันเร็วมาก มีความคิดว่าเวลาของโลกมนุษย์มันเร็วเหลือเกิน เราถึงเป็นคนทำอะไรเยอะมาก สนุกกับมันมาก เพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวแป๊บๆ เราต้องไปแล้ว”
ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้คนสมัยนี้ทำงานด้วยความเครียด จะบอกคนเหล่านั้นอย่างไรให้ทำงานด้วยความสุข
“คนที่เครียดคือเข้าหาหัวใจเขาไม่เจอในการทำงาน แต่เมื่อไรที่หาหัวใจเจอเขาจะเป็นสุข ผมก็หาหัวใจของผมเจอ ผมเจอความสุขที่ผมอยากทำ ความสุขทความรักนั่นคือพลัง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นปุ๊บมันจะมีพลังงานในงาน passion มันจะออกมากลบหมด มันจะมีความเพียร มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้ออุปสรรค นั่นคือวิริยะ จิตตะ ใส่ใจ ในรายละเอียดทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แต่มันสร้างความต่าง วิมังสา คือประเมินโดยรอบ ฉะนั้นเราจะลบล้างความเครียดในการทำงานได้อย่งไร ก็ต้องหาหัวใจให้เจอ”
ณ วันนี้คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยัง
“ผมว่าชีวิตคือการเดินทาง ตราบที่เรายังมีลมหายใจเรายังต้งเดินทางไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราก็ยังเดินทางไป ยังไม่ตอบว่าจะประสบความสำเร็จหรือยัง เพราะเชื่อว่าเรายังต้องก้าวหน้าไปอีกยังไม่จบ เกมมันยังไม่โอเวอร์ ตราบที่เรายังมีลมหายใจเราจะเหนื่อยไม่ได้ จะท้อไม่ได้ คนท้อไม่แท้ คนแท้ไม่ท้อ ถามว่าสำเร็จมั้ย คิดว่ายังไปได้อีกนะ แต่ถามว่ามีความสุขมั้ย สุขที่สุดแล้ว พอใจที่สุดแล้ว มีพลังที่สุดแล้ว”
ที่มา : Yoga Journal Magazine , May-June 2012