ไม่ได้ต้องการจะเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์ แต่เร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสไปชมภาพยนตร์สองเรื่องมาติดๆ กัน แอบเห็นประเด็นธรรมะน่าสนใจที่สอดแทรกอยู่ ขออนุญาตนำมาเปิดประเด็นสนทนากันบ้าง
ไม่ได้ต้องการจะเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์ แต่เร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสไปชมภาพยนตร์สองเรื่องมาติดๆ กัน แอบเห็นประเด็นธรรมะน่าสนใจที่สอดแทรกอยู่ ขออนุญาตนำมาเปิดประเด็นสนทนากันบ้าง
เรื่องแรก ประทับใจและสนุกมากกับ Green Lantern เรื่องราวของฮัล จอร์แดน นักบินที่ถูกเลือกโดยกลุ่มมนุษย์ต่างดาวนอกโลกที่เรียกว่า Green Lantern ให้เป็นมนุษย์คนแรกที่มีสิทธิ์ได้รับพลังจากแหวนศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังเพื่อให้เขาช่วยปกป้องจักรวาลและโลกจากการคุกคามของศัตรูชื่อ พาราลแล็กซ์ ซึ่งเป็นปีศาจที่ดูดพลังจากความหวาดกลัวของสิ่งมีชีวิตอื่น ยิ่งใครมีความกลัว หรือมีบาดแผลที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก จะยิ่งทำให้เจ้าพาราลแล็กซ์ทรงพลังมากขึ้น ขยายตัวใหญ่ขึ้นจนสามารถเขมือบโลกได้ทั้งโลก
หนังเรื่องนี้นำ กิเลสในหมวดโทสะมาขยายให้เห็นภาพชัดเจนเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ ความกลัว ความเศร้า ความเสียใจ ความผิดหวัง ความไม่พอใจ และความทุกข์ทางใจทั้งหลาย ซึ่งจัดอยู่ในกิเลสหมวดโทสะที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนส่วนใหญ่ เป็นอาหารและพลังงานที่ดีของปีศาจพาราลแล็กซ์ แม้กระทั่ง ฮัล พระเอกในเรื่องผู้ยังคงมีความกลัวอยู่ลึกๆ ทำให้ละทิ้งความฝัน ความสัมพันธ์ ความรับผิดชอบ และความสำเร็จต่างๆ ในชีวิตเพราะเรื่องราวการตายของพ่อซึ่งเป็นนักบินซึ่งอยู่ในจิตใต้สำนึก จะถูกคุ้ยขึ้นมาทำงานและส่งผลต่อชีวิตในทางลบทุกครั้งโดยไม่รู้ตัว
คนจำนวนมากมายในโลกนี้ รู้สึกเหงา ว้าเหว่ เบื่อ เซ็ง หวาดกลัว เศร้าโศกเสียใจ เป็นการสะสมโทสะหรือความโกรธไว้ในใจ เป็นความโกรธที่พร้อมจะพัฒนาขึ้นมาสู่ความพยาบาท ทำให้ตนเองโดนเผาอยู่ตลอดเวลาด้วยไฟแห่งโทสะ ทำให้ไม่สามารถรู้สึกอบอุ่น มีความสุขและเป็นมิตรกับคนรอบข้างได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ตาม
แต่ในที่สุด พระเอกฮัลก็สามารถก้าวข้ามความกลัวของตนเองได้ ด้วยความมุ่งมั่นและพลังใจที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญของตนเอง จนทำให้สามารถบุกออกนอกโลกไปฆ่าปีศาจพาราลแล็กซ์ให้มอดไหม้เป็นจุลได้
ความหวาดกลัว ความโศกเศร้า ความไม่พอใจ หรือโทสะเปรียบเสมือนความมืดมิดแห่งจิตใจ ทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าใดๆ ของตนเอง แต่ทันใดที่เราพลิกจิตให้มีความกล้า มีสติสัมปชัญญะ ใจของเราจะส่องแสงสว่าง ดังประโยคที่พระเอกพูดว่า I am the light! ข้าคือแสงที่ส่องสว่าง ความชั่วช้ามิอาจรอดสายตาข้า ..
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลมีสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมอื่นๆ ที่เก่าแก่ ซับซ้อนมากกว่ามนุษย์อาศัยอยู่ เปรียบเสมือนภพภูมิต่างๆ ที่มีซ้อนกันอยู่ แต่การที่แหวนวิเศษมาเลือกมนุษย์ให้เป็นผู้รับผิดชอบและรับเกียรติยศสูงสุดในการปกป้องจักรวาล แสดงให้เห็นว่า แม้นมนุษย์จะมีจุดอ่อนในเรื่องกายภาพ และจิตใจที่เต็มไปด้วยกิเลสมากมาย แต่จุดอ่อนเหล่านี้สามารถพลิกผันพัฒนาขึ้นมาเป็นจุดแข็งได้ ดังความหมายของคำว่า ‘มนุษย์’ ซึ่งมาจาก มโน แปลว่า ใจ บวกกับ อุษย แปลว่าทำให้สูง นั่นคือ มนุษย์เป็นผู้พัฒนาได้ เป็นผู้ประเสริฐได้ ทำจิตใจให้สูงได้
นี่เป็นเหตุผลที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเลือกที่จะอุบัติเกิดขึ้นเป็นมนุษย์ในการบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และได้ทรงประกาศเป้าหมายของการเกิด นับแต่วินาทีที่ได้ประสูติจากพระนางสิริมหามายาโดยการเปล่งอภิสวาจาว่า ‘เราเป็นเลิศที่สุด เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การเกิดไม่มีกับเราอีกต่อไป’
เราในที่นี้ คือ พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ทุกคน ควรได้ตระหนักถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่และยากยิ่งของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้จะดูอ่อนแอ จิตใจโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้วันละหลายๆ ครั้ง (เหมือนเพระเอกในเรื่องที่ขอลาออกจากการทำหน้าที่ปกป้องจักรวาล) แต่หากตั้งใจให้แน่วแน่แล้ว ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้ Anything is possible!
บ่อยครั้งเราอาจมองไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานย่อมมองได้ทะลุปรุโปร่ง เพราะได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่เรามองไม่เห็น นั่นเป็นเพราะว่าเราตีค่าตนเองต่ำต้อยเกินไป ไม่ชัดเจนในเป้าหมายของชีวิต และไม่รู้จริงๆ ว่าเราเป็นใคร เกิดมาทำไม
มีอยู่ตอนหนึ่งที่มีการปลุกพลังชาว Green Lantern ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องตนเอง ผู้นำได้กล่าวว่า ‘ข้าฯ ไม่จำเป็นต้องบอกว่าหน้าที่ของพวกท่านคืออะไร ข้าฯ ไม่จำเป็นต้องบอกว่าพวกท่านเป็นใคร’ แหม ฟังแล้ว ผมอยากนำมาถามบ้างจังเลย รู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร เกิดมาทำไม มีเป้าหมายในชีวิตและมีหน้าที่อะไร
นอกจากการนำเสนอเรื่องของจิตใต้สำนึกที่มีผลต่อการใช้ชีวิตโดยไม่รู้ตัวแล้ว พระเอกยังได้ฝึกใช้พลังแห่งจิตตานุภาพ คือ การฝึกใช้ความคิดให้เป็นความจริง ตรงกับกฏแห่งมโนนิยมในหนังสือสุดยอดเดอะซีเคร็ต ที่เน้นว่า พลังแห่งความคิดมีพลังมหาศาล สิ่งที่ปรากฏในโลกและในจักรวาลนี้ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดทั้งสิ้น
อีกเรื่อง คือ X-men รุ่น 1 เป็นเรื่องราวของบรรดามนุษย์กลายพันธุ์ที่กำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ และเรื่องราวของตัวเอกซึ่งเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน นับถือกันเป็นพี่น้อง แต่กลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน แสดงให้เห็นอีกครั้งว่ามนุษย์นั้นจิตใจโลเลไม่มั่นคง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร (คงคล้ายๆ การเมืองไทย) ในคนคนหนึ่ง มีทั้งความดีและความไม่ดีปะปนกัน และในสถานการณ์ที่คับขันก็จะเปิดเผยธาตุแท้ออกมา
ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อถึงการไม่ยอมรับความแตกต่างในสังคม การปฏิเสธสังคมแบบพหุวัฒนธรรม และที่สำคัญ การไม่รู้จักชื่นชมและภาคภูมิใจในความสามารถพิเศษที่ตนมี ขาดความกล้าหาญในการยอมรับตนเองอย่างที่เป็น มัวแต่ใช้ชีวิตอย่างที่ผู้อื่นและสังคมอยากเห็น จึงมีชีวิตที่ขาดๆ เกินๆ หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้
ถึงเวลารึยัง ที่จะลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็นจริงๆ… ชีวิตที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับลมปากและความคาดหวังของผู้อื่น…
วิเศษครับอาจาย์ท่าน…อาจารย์ดนัย คือขุมทรัพย์ทางปัญญาจากตะวันตก+ตะวันออกที่แท้จริง! คำภีร์ The Meta Secret มีประโยชน์กับผมมากในเรื่อง”กฏแห่งมโนนิยม” ต้องยอมรับอย่างจริงจังว่าทั้งหมด(ทั้งเล่ม) ผมชอบใจมากที่สุดก็ต้องคำนำ โดยอจ.ดนัยนี้ล่ะ (ขอเชิดชูอีกครั้งเถิด!)
อ่านวิจารณ์แล้วรู้สึกหนังเรื่องนี้เจ๋งขึ้นมาทันทีเลยค่ะ วิจารญ์หนังอีกนะคะ ชอบๆ ^^
ขอบคุณทุกท่านที่ชอบอ่านครับ จะหาโอกาสวิจารณ์หนังอีกเมื่อมีโอกาส
และขอบคุณ คุณ Eddy มากๆ สำหรับคำชมหนังสือ สุดยอดเดอะซีเคร็ตครับ
คุณ Eddy ก็สุดยอด!! ลูกสาวน่ารัก หน้าตาแบบว่า .. สำเนาถูกต้องอ่ะ 555