คนทั่วโลกต่างตระหนกตกใจกับภาพคลื่นยักษ์สึนามิที่ถาโถมเข้าโจมตีเมืองเซนได จังหวัดมิยางิทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น
คนทั่วโลกต่างตระหนกตกใจกับภาพคลื่นยักษ์สึนามิที่ถาโถมเข้าโจมตีเมืองเซนได จังหวัดมิยางิทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ไม่กี่นาทีต่อจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดรุนแรง 8.9 ริกเตอร์ ตามมาด้วยการระเบิดของเตาปฏิมากรณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์และการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีที่กำลังส่งผลกระทบต่อทั้งธรรมชาติและชีวิตมนุษย์อย่างมากมาย จนเกิดความวิตกกังวลไปทั่วโลก และในขณะนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แต่อย่างใด
ท่ามกลางมหันตภัยจากธรรมชาติที่โหดร้ายไร้ความปราณี คนทั่วโลกกลับได้เห็นความเป็นอารยะในสายเลือดและจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่นที่น่ายกย่องชื่นชมและนำมาเป็นแบบอย่าง นั่นคือ ความมีระเบียบวินัย ความมีขันติ อดทน มีสติสัมปชัญญะ ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ปล้นฆ่าลักขโมย รวมทั้งความมีน้ำใจเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเหนือประโยชน์ส่วนตน การไม่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและกักตุนสินค้า แม้ว่าอยู่ในภาวะวิกฤตหนักที่ขาดแคลนทุกอย่าง ทั้งอาหาร น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่ม และสินของอุปโภคบริโภคทั้งหลาย ทว่าภาพที่ปรากฏต่อคนทั่วโลกในการเข้าแถวรอกรอกน้ำดื่ม ขึ้นรถเมล์ โทรศัพท์ เติมน้ำมัน ซื้อของ ด้วยความอดทน มีระเบียบ คือสิ่งที่ชาวโลกล้วนสงสัยว่า คนญี่ปุ่นทำได้อย่างไร ปลูกฝังความงดงามทางวัฒนธรรมเช่นนี้ให้อยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณอย่างเข้มแข็งได้อย่างไร
คนญี่ปุ่นกับคนไทย เป็นเพียงสองชนชาติในเอเชียที่มีวัฒนธรรมอันโดดเด่นด้านความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีสัมมาคารวะ มีบุคลิกภาพที่อ่อนนอกแต่แข็งใน เป็นความเหมือนร่วมกันทางวัฒนธรรมของไทยและญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ต่างคือ คนญี่ปุ่นยังคงรักษาการมีสัมมาคารวะ และความนอบน้อมถ่อมตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ต่างจากคนไทยที่เริ่มพลิกกลับทางวัฒนธรรม กลายเป็นแข็งนอกอ่อนใน คือ มีความก้าวร้าวมากขึ้น ไร้ซึ่งสัมมาคารวะและขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ในจิตใจกลายเป็นคนอ่อนแอ ไม่มั่นคง
มีคำกล่าวขำขำว่า หากคนไทยมาหนึ่ง กับคนญี่ปุ่นมาหนึ่ง ต้องเกรงคนไทย เพราะความสามารถเฉพาะตัวเหนือกว่า แต่หากไทยมาสอง มาสาม มาสิบคนเมื่อไร เทียบกับคนญี่ปุ่นสิบคนเท่ากันแล้ว รับรองว่าเราสู้เขาไม่ได้ เพราะคนไทยขาดการทำงานร่วมกันเป็นทีม เป็นหมู่คณะ ไม่มีมุทิตาจิต ไม่รู้จักการชื่นชมยินดีในความสำเร็จและความสุขของผู้อื่น ตรงนี้คนญี่ปุ่นมีความโดดเด่นมากในการรู้รักสามัคคี แม้ว่าประเทศชาติแพ้สงคราม แพ้ภัยธรรมชาติอยู่เนือง แต่ด้วยความกลมเกลียวของคนในชาติ ทำให้ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ทศวรรษเท่านั้น
พื้นฐานทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นหล่อหลอมมาจากศาสนาชินโตที่ปลูกฝังให้อยู่กับธรรมชาติ รักและเข้าใจในวิถีธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด น่าแปลกที่ชนชาติที่เจริญทางเทคโนโลยี แต่ในห้องเรียนกลับเรียบง่ายธรรมดา ไม่มีความหรูหราหรือสิ่งอำนวยความสะดวก เน้นความเป็นธรรมชาติธรรมดาๆ ไม่ให้มีความเป็น ‘ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป’ ไม่ยัดเยียดให้มีคอมพิวเตอร์สมัยใหม่เหมือนบางประเทศ เด็กๆ ญี่ปุ่นถูกฝึกให้รู้จักช่วยตัวเอง ตั้งแต่การแต่งตัว การแขวนเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย การแยกขยะ เป็นการปลูกฝังระเบียบวินัยแต่วัยเยาว์
การเรียนการสอนในช่วงอนุบาลก็ไม่ได้เน้นวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาหรือวิชาการอะไรมากมายเหมือนบ้านเรา แต่ให้มีสมุดวาดเขียน ให้เด็กได้รู้จักชีวิต เข้าใจชีวิตและมีจินตนาการ ได้เข้าใจในองค์รวมของการอยู่ในสังคม โดยเด็กอายุไม่ถึงหนึ่งขวบก็ให้แข่งคลานกันร้องไห้กระจองอแง อายุไม่ถึงสี่ขวบแข่งกันวิ่ง เพื่อฝึกความอดทน ความเข้มแข็ง ช่วงกลางวันให้เด็กๆ ถอดเสื้อนอน หน้าหนาวให้ใส่กางเกงขาสั้น ให้ถอดเสื้อ เพื่อฝึกร่างกายให้ทนต่ออากาศหนาว จนเด็กไม่สบายไปตามๆ กัน เป็นสิ่งที่พ่อแม่ญี่ปุ่นต้องการเห็น หากเป็นเด็กไทย พ่อแม่คงทำใจไม่ได้ เพราะฝึกให้ลูกเปราะบางตั้งแต่อ้อนแต่ออก
การไปรับส่งลูกที่โรงเรียน พ่อแม่จะไม่ช่วยเด็กถือกระเป๋าหรือสัมภาระใดๆ เด็กๆ ต้องเรียนรู้ในการช่วยเหลือตัวเอง ทั้งถือและหิ้วทุกอย่าง ในขณะที่พ่อแม่เดินตัวเปล่า เพราะคนญี่ปุ่นแสดงความรักจากใจ ไม่ใช่แสดงจากมือ เป็นกุศโลบายการสอนที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
นอกจากนี้ เด็กญี่ปุ่นทุกคนจะได้มีโอกาสซ้อมหนีแผ่นดินไหว ไฟไหม้ คนทั่วโลกจึงได้เห็นภาพเด็กญี่ปุ่นอายุ 4 ขวบ สะพายเป้เดินท่ามกลางซากปรักหักพังอย่างเข้มแข็งองอาจ เกินกว่าที่เด็กชาติอื่นจะสามารถทำได้ ทั้งหลายทั้งปวงคือ สิ่งที่คนไทยและระบบการศึกษาไทยควรนำมาปรับใช้โดยเร่งด่วน เพราะหากไปปลูกฝังในช่วงมัธยมหรืออุดมศึกษา คงจะช้าเกินไป
ท้ายสุด ในช่วงแรกของการเรียนหนังสือ เด็กญี่ปุ่นถูกปลูกฝังให้รู้จักยิ้ม รู้จักขอบคุณในทุกสิ่งที่มีในชีวิต แม้แต่อาหารการกิน ก็ไม่ให้กินจนเกินจำเป็น ไม่มีอาหารเหลือ เป็นการฝึกเอาไว้ตั้งแต่เด็ก เราจึงแทบไม่เห็นคนญี่ปุ่นที่มีรูปร่างอ้วนหนาเลย นี่ละเคล็ดลับ!
หันมาดูประเทศสยามเมืองยิ้มของเรา ก่อนจะมีอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงหน้าร้อน มีข่าวรถขนปลาพลิกคว่ำบนถนนในภาคใต้ ปรากฏว่า ชาวบ้านรุมล้อมรถเต็มไปหมด ตอนแรกเจ้าของรถคงดีใจที่มีคนไทยน้ำใจงามมากมายเข้าไปช่วยเหลือในภาวะคับขันแบบนั้น แต่กลับเป็นว่า คนเหล่านั้นกลับไปแย่งปลาที่หล่นเกลื่อนกลาดเต็มท้องถนนและทุ่งนา แล้วเอากลับไปบ้าน โดยไม่ยี่หระต่อสายตาของสื่อมวลชนหรือคนทั่วไป แถมยังชูปลาให้กล้องทีวีดูว่าได้มากี่ตัว เป็นการทำชั่วอวดกัน ช่างเป็นความน่าละอายที่คิดไม่ถึงว่าคนไทยจะกลายพันธุ์เป็นคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวขนาดนี้
แต่เพราะเราเป็นคนคิดแบบพลังบวกชนิดที่เรียกว่า ดับเบิ้ลบวก! จึงปลอบใจตัวเองว่าคนไทยแบบนี้มีน้อยมาก ไม่น่าจะถึง 0.1% หรือคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ อาจไม่ใช่คนไทยแท้ๆ คงเป็นพวกอพยพมากจากถิ่นอื่น หากมีโอกาส ทางการควรส่งพวกเขากลับคืนถิ่นไป เพราะคนไทยแท้ๆ จะมีน้ำใจงาม ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ตกทุกข์ได้ยาก มีความละอายและเกรงกลัวต่อการทำบาป พวกที่เห็นในข่าวมายื้อแย่งปลาจากรถคว่ำ ที่กักตุนสินค้าและฉวยโอกาสขึ้นราคาน้ำมันปาล์มนั้น ไม่ใช่คนไทยแน่นอน!
บทเรียนเรื่องสึนามิ และรถขนปลา จึงฉายให้เห็นภาพของสองชนชาติอย่างชัดเจน.
คิดและเห็นไปตรง(อย่างที่มันเป็น)…๑. คนไทยแท้ๆ นี่ล่ะครับ.. ที่เป็นโจรขโมยของยามที่ชาวบ้านประสบปัญหาน้ำท่วม! ๒.นักการเมืองไทยแท้ๆ นี่ล่ะครับที่กักตุนของบริจาคเพื่อเอาหน้ารอเวลาทีวีมาถ่าย ๓.ข้าราชการไทยแท้ๆนี่ล่ะครับที่ส่งมอบของบริจาคให้ทั่วถึง ๔.คนไทยแท้ๆ นี่ล่ะครับที่แม้นแต่ทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตก็หายไปยามประสบอุบัติเหตุ ฯลฯ ผมไม่ค่อยมีจริตมองทางบวกเท่าไหร่! แต่ก็ไม่คิดอะไรทางลบ… ชอบมองอย่างที่มันเป็น…เพียงเห็นแล้วทำธรรมสังเวชในใจ!ว่า…”รู้หนอ…รู้หนอ…รู้หนอ” แล้วก็(พยายาม)วางลง! ส่วนใหญ่ไทยแท้ๆ ทั้งนั้นล่ะครับอาจารย์ ^_^ (ปล.ขอบพระคุณสำหรับบทความดีๆ ที่แบ่งปันครับอาจารย์)
คิดและเห็นไปตรง(อย่างที่มันเป็น)…๑. คนไทยแท้ๆ นี่ล่ะครับ.. ที่เป็นโจรขโมยของยามที่ชาวบ้านประสบปัญหาน้ำท่วม! ๒.นักการเมืองไทยแท้ๆ นี่ล่ะครับที่กักตุนของบริจาคเพื่อเอาหน้ารอเวลาทีวีมาถ่าย ๓.ข้าราชการไทยแท้ๆนี่ล่ะครับที่ส่งมอบของบริจาคไม่ทั่วถึง ๔.คนไทยแท้ๆ นี่ล่ะครับที่แม้แต่ทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตก็หายไปยามประสบอุบัติเหตุ ฯลฯ ผมไม่ค่อยมีจริตมองทางบวกเท่าไหร่! แต่ก็ไม่คิดอะไรทางลบ… ชอบมองอย่างที่มันเป็น…เพียงเห็นแล้วทำธรรมสังเวชในใจ!ว่า…”รู้หนอ…รู้หนอ…รู้หนอ” แล้วก็(พยายาม)วางลง! ส่วนใหญ่ไทยแท้ๆ ทั้งนั้นล่ะครับอาจารย์ ^_^ (ปล.ขอบพระคุณสำหรับบทความดีๆ ที่แบ่งปันครับอาจารย์)
Thank you for sharing good thoughts. Watched the news yesterday about the Japanese rubber factory in the South has been hit be flood disaster and his rubber got stolen — sometimes I feel ashamed by being Thai.
Kindly let me know if you may allow me to shore this article on facebook and social media ka.
Sincerely,
Nattima
เป็นจริงตามที่ว่าไว้จริงๆ ครับ โดยเฉพาะการทำงานเป็นทีม เพราะอัตตาสูง ข้างนอกแข็ง ข้างในกลัว หรือไม่ก็ตกยุค ….
อาจเป็นเพราะเราสบายกันจนเคยตัว ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับภัยธรรมชาติ พ่อ-แม่ก็เลี้ยงดูแลลูกมากเกินจนไม่ให้ต่อสู้กับความยากลำบากและเราก็รับวัฒนธรรม
ง่ายระบบการศึกษาไม่มีหลักแน่นอนขึ้นอยู่กับนโยบายทางการเมือง จนป่านนี้วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย หน้าที่พลเมือง วิชาศิลธรรม เด็กๆแทบไม่รู้จัก จึงไม่แปลกว่าเวียดนาม ลาว เขมร เขาก็กำลังจะแซงหน้าเรา ก็คงต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อนละ ช่วยกันคนละไม้ละมือเอาญี่ปุ่นเป้นบทเรียนที่ดีแก่เรา
เห็นด้วยมาก ๆ เลยค่ะ เริ่มหนักใจว่าถ้ามีลูกจะเลี้ยงหรือปลูกฝังลูกยังไงดี
อย่าหวังว่าสังคมหรือใครจะเปลี่ยนไปค่ะ…ประเทศจะเปลี่ยแปลงได้ต้องใช้เวลาโดยเริ่มต้นที่ตัวเราและคนรอบข้างค่ะ…..ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคะสอนค่ะ
เห็นด้วยครับ สอนโดยไม่ต้องสอน
สอนโดยการทำให้ดู
อยู่ด้วยการให้
ด้วยหัวใจสีขาว …
คนเราแข่งขันกันที่เทคโนโลยีจนลืมพัฒนาจิตใจของตนเองให้สูงตามไปด้วย สังคมจึงเสื่อมลงทุกวัน
เมืองไทยเหรอ ขนาดญาติพี่น้องทำงานด้วยกันยังมีปัญหาเลย โกงกันหน้าด้านๆ ไม่แคร์พี่น้องคนอื่น อ้างว่าตัวเองทำมากกว่า (เอาอะไรมาวัด) ก็ต้องได้ผลตอบแทนมากกว่าด้วยการเบิกเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว ขายของบริษัทแต่เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ค่าใช้จ่ายส่วนตัวกลับโบ้ยให้เซ็นเช็คบริษัทจ่ายไป ฯลฯ เราไม่รู้ว่ารุ่นพ่อแม่เราทนได้อย่างไร แต่มาถึงรุ่นเราแล้วก็ควรหยุดซะที ไม่ใช่ส่งต่อนิสัยเลวๆ ให้ลูกตัวเองทำเหมือนกัน!!!
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีเหลือเกินค่ะ แต่ก็กังวลและเศร้าใจแทนสังคมไทยที่เปลี่ยนไป คงเป็นหน้าที่ที่เราต้องสอนลูกสอนหลาน ให้คืนกลับมาเป็นเด็กดี เป็นคนดี ที่มีน้ำใจแบบดั้งเดิม จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?ก็ต้องทำ
จริงๆประเทศเรามีศักยภาพที่จะพัฒนาได้นะคะ จำได้ว่าตอนประถม เค้าว่าประเทศเราจะเป็นเสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย แล้วดูทุกวันนี้จะแข่งกับใครดี เป็นไปได้เหรอที่คนระดับผู้บริหารประเทศจะไม่รู้ว่าระบบการศึกษาที่ดีเป็นยังไง การวางรากฐานให้กับเยาวชนของชาติมันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำ แต่เดี๋ยวนี้ใครจะเป็นแบบอย่างล่ะ ครูรุ่นใหม่ก็มาจากคนที่ถูกหล่อหลอมมาให้เห็นแก่ตัว สิ่งที่ข้องใจที่สุดกับระบบการศึกษาไทยคือการเรียนพิเศษ ก็ในเมื่อหลักสูตรในรร.ก็มีเรียนอยู่แล้วทำไมต้องเรียนพิเศษอีก ครูก็ครูคนเดียวกับที่สอนในรร.นั่นแหละ กลายเป็นว่าพ่อแม่ต้องจ่ายเงิน 2 ต่อเพื่ออะไรก็ยังไม่รู้เลย
1.ไทยแท้ๆที่เป็นโจรจริงๆส่วนมากจะอยู่ในสภา
2.ไทยแท้ๆที่เป็นโจรกระจอกหรือโจรฉาบฉวยด้วยขาดการปลูกฝังคุณธรรม
อย่าลืมว่าเราตัดวิชาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาออกไปพักนึง
ช่วงนั้นเป็นสุญญากาศทางจริยธรรมของประเทศมันจะแสดงออกมามั่งแล้วมั้งครับ
3.ช่วงที่ญี่ปุ่นประสพภัยแล้วพลเมืองเค้าแสดงออกอย่างนั้น
อย่าลืมว่าญี่ปุ่นประสพภัยอย่างโชกโชนถ้าจะเทียบกันนั่นคือประเทศของผู้ประสพภัยมืออาชีพ
บ้านเรายังสมัครเล่นอยู่เทียบชั้นกันแล้วยังห่างไกล
และผมก็ไม่หวังให้เราเป็นระเบียบเพราะเจอกับภัยธรรมชาติบ่อยๆ อันนี้ยกให้เขาไปครับ
4.ข้อดีของปะเทศเราเยอะจนสาธยายไม่หมด ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเสนอข้อดีของชนชาติอื่น
แล้วลงท้ายด้วยการเหยียบย่ำชนชาติเดียวกันเองครับ บางตัวอย่างเขาเลวกว่าเราเยอะ
บางที่เราก็ดีกว่าเขาจนเทียบไม่ได้ สำคัญว่าคนในชาติรู้จักหน้าที่ มีคุณธรรมกันมั่งก็น่าอยู่แล้วครับ