จากประสบการณ์ที่ดิฉันเองเคยป่วยเป็นมะเร็งมาแล้วถึง 3 ครั้ง ในรอบเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากการเป็นมะเร็งเต้านมครั้งแรกเมื่อปี 2540 ได้ทำการผ่าตัดและรับยาเคมีบำบัดตามที่แพทย์แนะนำเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นดิฉันจึงเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตใหม่ หันกลับมาใช้เวลาให้กับตัวเองมากขึ้น แทนที่จะสนใจแต่เรื่องของคนอื่นและเรื่องสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่ไม่เกี่ยวกับตัวตนของเรา ด้วยการดูแลตนเองในแนวธรรมชาติบำบัด โดยการกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาที่ดีสำหรับผู้ป่วย ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและควบคุมอารมณ์ไม่ให้แปรปรวน มะเร็งหายไปนานถึง 6 ปี จนหมอบอกว่าปลอดภัยหายดีแล้ว
ดิฉันจึงเกิดความประมาท กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนก่อนเป็นมะเร็ง คือ กินอาหารไม่เลือกไม่ถูกหลักโภชนาการที่ดี กลับมาทำงานเคร่งเครียด ทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย โมโหง่ายและขี้น้อยใจ
เชื่อมั้ยค่ะ…ภายในเวลาผ่านไปเพียง 7 เดือน มะเร็งกลับมาทันที คราวนี้เกิดขึ้นที่…ปอด ดิฉันจึงทำการผ่าตัดเอาเนื้อปอดส่วนที่เป็นเนื้อร้ายออก และรับยาเคมีบำบัดอีกรอบ ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงระยะเวลาของการรับยาเคมีผ่านไปเพียง 5 เดือน ยังไม่ครบตามโปรแกรมที่คุณหมอกำหนดไว้ ได้พบว่ามะเร็งเกิดขึ้นอีกที่ชั้นกล้ามเนื้อหลังปอด ดิฉันต้องเสียเงินถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท ให้กับค่าผ่าตัดและค่ายาเคมีที่แสนจะแพงขูดรีดขูดเนื้อผู้ป่วย ที่นอกจากจะต้องทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากโรคภัยที่เกิดขึ้นแล้ว ยังต้องเป็นทุกข์กับปัญหาทางการเงินอีกด้วย ทำไมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เคยคิดถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยบ้างหรือไม่ ทำไมจึงปล่อยให้ผู้ป่วยต้องรับเคราะห์กรรมเพิ่มขึ้นอีก จากการต้องซื้อยาราคาแพงจากต่างประเทศ อันเนื่องด้วยผลจากเรื่องสิทธิบัตรยา ทำให้คนไทยไม่สามารถซื้อยาราคาถูกกว่ามาใช้ได้ เมื่อไรปัญหานี้จึงจะได้รับการแก้ไขจากผู้ที่มีอำนาจและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเสียที หรือต้องรอให้ตัวท่านเองเป็นมะเร็งเสียก่อน จึงจะเข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วย
จากสภาพร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการผ่าตัดและรับยาเคมี ทำให้ร่างกายอ่อนแอมากจากผลข้างเคียงของยาเคมี (หรือเรียกว่าอาการแพ้ยาเคมี) ทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ หอบหืด อย่างรุนแรงตามมา อาการปวดกล้ามเนื้อไปทั่วทุกรูขุมขนทั้งร่างกาย ระบบการหายใจมีปัญหา ทำให้มีอาการไอตลอดเวลา อ่อนเพลีย ไม่มีแรงพูด ไม่มีแรงเดิน ทำให้สภาพร่างกายดิฉันไม่สามารถรับยาเคมีต่อไปได้อีก ดิฉันจึงตัดสินใจเลิกรับยาเคมีบำบัด ทั้ง ๆ ที่ยังรับยาไม่ครบคอร์สตามโปรแกรมการรักษา เพราะดิฉันคิดว่าถ้าเราเป็นมะเร็งลุกลามจนถึงขั้นที่ยาเคมีช่วยเราไม่ได้แล้ว ควบคุมมะเร็งส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่ได้ เราจะไปทุกข์ทรมานกับยาเคมีต่อไปอีกทำไม จะไปเสียเงินมากมายกับมันอีกทำไม ถ้าจะตายก็ให้ตายเพราะมะเร็ง ไม่ใช่ตายเพราะรับยาเคมี (หรือยาพิษเราดี ๆ นี่เอง) เข้าสู่ร่างกายเรามากเกินไป สู้เก็บเงินไว้ให้ลูกเราใช้ดีกว่า…ดีกว่าจะเอาเงินไปจ่ายค่ายา (ไปให้คนอื่นใช้) เพราะในเมื่อแพทย์เองก็ไม่กล้ารับประกันกับเราว่า…ยาเคมีบำบัดสามารถช่วยเราให้หายได้
ดิฉันจึงให้กำลังใจตนเองให้สู้ต่อไปอีกสักครั้ง โดยหันกลับมาดูแลตนเองด้วยศาสตร์การแพทย์ทางเลือก หรือการแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Medicine) เป็นความหวังครั้งสุดท้ายในชีวิต โดยเรียนรู้ศึกษาทั้งจากหนังสือต่าง ๆ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังในทุกเรื่องที่ได้รับการแนะนำมา โดยประยุกต์ให้เข้ากับสภาพร่างกายของตนเอง ที่เรียกกันว่าให้ฟังเสียงความต้องการของร่างกายตนเอง…อย่างมีสติ เพราะไม่มีใครจะช่วยเราได้ดีเท่ากับตัวของเราเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตประจำวันใหม่ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสมดุล ทำให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง โดยเฉพาะการเอาชนะจิตใจตนเองให้ได้ เอาชนะกิเลสต่าง ๆ ที่มาครอบงำ ได้แก่ การเอาชนะความอยากกินอาหารที่มีรสชาติอร่อยแต่ไม่ดีต่อสุขภาพ เอาชนะความขี้เกียจในการออกกำลังกาย พยายามฝึกตนเองให้รู้จักการปล่อยวาง ทำจิตใจให้เบิกบาน ไม่ยึดตึดในอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ และไม่ยึดติดในวัตถุสิ่งของทรัพย์สินเงินทอง เพราะเมื่อเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้
ดิฉันได้เรียนรู้ถึงพลังชีวิต 6 อย่าง ที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บได้ คือ
- พลังชีวิตจากธาตุดิน – การกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการที่ดี
- พลังชีวิตจากธาตุน้ำ – การดื่มน้ำที่มีคุณภาพ และให้ได้ปริมาณมากเพียงพอ
- พลังชีวิตจากธาตุลม – การบริหารลมหายใจ และการหายใจให้ถูกวิธี
- พลังชีวิตจากธาตุไฟ – การทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำจนตัวร้อนและเหงื่อออก
- พลังชีวิตจากจักรวาล – การฝึกพลังลมปราณ พลังชี่กงจักรวาล
- พลังชีวิตจากพลังจิต – การมีทัศนคติเป็นบวก สมาธิ สติ ศึกษาปฏิบัติธรรม
ด้วยการจัดสรรเวลาให้กับตนเองมากขึ้น และมีระเบียบวินัยในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เวลาผ่านไปเพียง 5 เดือน ดิฉันก็สามารถเอาชนะเจ้ามะเร็งนี้ได้…แทบไม่น่าเชื่อตัวเอง…เพราะดิฉันคอยเฝ้าระวังด้วยการตรวจเช็คร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตรวจเช็คผลเลือดและผลเอกซ์เรย์ต่าง ๆ ตามที่คุณหมอแนะนำเสมอมา ดิฉันรู้สึกเสียดายที่คุณหมอแผนปัจจุบันบางท่านยังคงไม่เปิดใจ และมองข้ามศาสตร์การแพทย์ทางเลือกไป เพราะถ้าเรานำมาผสมผสานร่วมกันในการรักษาและแนะนำผู้ป่วย คงจะช่วยผู้ป่วยได้มากกว่านี้
ดิฉันบอกเล่าประสบการณ์ของตนเอง เพื่อเป็นข้อคิดสำหรับผู้อื่นว่า … ชีวิตนี้เป็นของเรา… จงมีส่วนร่วมในการดูแลชีวิตของเรานี้ อย่าปล่อยให้การรักษาเป็นหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น ความสำคัญระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ผู้รักษานั้น อันที่จริงแล้วผู้ป่วยเองมีบทบาทและมีอิทธิพลต่อผลการรักษามากที่สุด นอกจากนี้ดิฉันอยากให้กำลังใจสำหรับผู้ป่วยที่หมดหนทางรักษาด้วยวิถีการแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว หรือผู้ป่วยที่ติดปัญหาการเงินไม่สามารถสู้ภาระค่าใช้จ่ายที่แพงมากได้ จึงอยากจะแนะนำแนวทางการรักษาแบบการแพทย์ทางเลือกให้ โดยผลการรักษาจะได้ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเองต้องมีจิตศรัทธาต่อแนวทางการแพทย์ทางเลือกนี้ และมีจิตมุ่งมั่นที่เชื่อในพลังแห่งการบำบัดรักษาของร่างกายเราเองที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ …ด้วยการเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตใหม่ การมีระเบียบวินัยกับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง การรู้จักปล่อยวางจากกิเลสสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ การดำรงชีวิตอยู่อย่างสงบเรียบง่าย แล้วท่านจะได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตที่ท่านอาจไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนที่ดิฉันได้ค้นพบมาแล้วว่า…
มะเร็งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดแต่อย่างเดียว เพราะที่ผ่านมาเรามองแต่ด้านร้ายของมัน แต่ถ้าเรามองอีกด้านหนึ่งของมัน มันก็ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง…เพราะมันเป็นเพียงสัญญาณเตือนภัยให้เราได้รับรู้ว่า… ที่ผ่านมาเราผิดพลาดในวิถีการดำเนินชีวิตตรงไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกิน การดำรงชีวิตประจำวัน การนอน การคิด และการกระทำอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เราจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปอย่างสงบสุข
เพราะสาเหตุของโรคมะเร็งนั้นเกิดจาก… การที่เราสะสมพฤติกรรมชีวิตที่ไม่ถูกต้องมาเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดความอ่อนแอของเซลส์ในร่างกาย และความอ่อนแอของระบบภูมิต้านทานในร่างกายของเรา อันเนื่องมาจาก
- 1. การขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จากการทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้ออาหาร หรือการไม่ทานผักผลไม้เป็นประจำตั้งแต่เด็ก การทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ อาหารที่มีสารก่อมะเร็งเป็นประจำ
- 2. การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
- 3. การที่ร่างกายเราสร้างสารเคมี หรือฮอร์โมนบางชนิดผิดปกติ สาเหตุจากความเครียด ความเร่งรีบกดดัน หรืออารมณ์ที่แปรปรวนอยู่เสมอ
- 4. การที่ร่างกายได้รับสารพิษหรือมลพิษสะสมจากสิ่งแวดล้อม ผ่านทางอาหาร อากาศ หรือทางผิวหนัง จึงเป็นเหตุให้เซลส์ของเราเจริญผิดปกติเป็นเซลส์มะเร็งในที่สุด
ดังนั้นหลักการรักษาในแนวการแพทย์ทางเลือก จึงมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย ด้วยการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการใช้หลักการแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Medicine) ผสมผสานร่วมกัน โดยมุ่งเน้นที่หลักการ 6 อ. ดังนี้
- อาหาร – การใช้อาหารเป็นยา ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะผักและผลไม้สดที่หลากหลายชนิด ลดการทานอาหารที่หล่อเลี้ยงให้เซลส์มะเร็งเติบโตได้เร็ว เช่น อาหารประเภทไขมันและโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และอาหารที่มีรสจัด ได้แก่ รสหวาน รสเค็ม
- อากาศ – การรับอากาศบริสุทธิ์ คือ ออกซิเจน ให้มากเพียงพอ ด้วยการบริหารลมหายใจเข้า-ออกแบบเทคนิคต่าง ๆ
- ออกกำลังกาย – เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเสริมระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายให้นานต่อเนื่องจนตัวร้อนและเหงื่อออก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 วัน ได้แก่ การเล่นกีฬาชนิดต่าง ๆ แบบแอโรบิค ชี่กง ไทเก๊ก โยคะ อื่น ๆ
- เอาพิษออกจากร่างกาย – ด้วยการขับถ่ายทุกวัน การทำดีท๊อกซ์ การอบความร้อนให้เหงื่อออก
- เอนกายพักผ่อน – นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าปล่อยให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียเป็นประจำ
- อารมณ์ – การทำจิตใจให้ร่าเริง การมีทัศนคติเป็นบวก การคิดและมองโลกในแง่ดี ด้วยการฝึกสมาธิและเรียนรู้หลักธรรมคำสอน เพื่อให้จิตใจรู้จักความสงบและการปล่อยวาง
*อ่านรายละเอียดการแพทย์แบบองค์รวมเพิ่มเติม..คลิก
เพราะเท่าที่ผ่านมา วิกฤติแห่งชีวิตเมื่อป่วยเป็นมะเร็งได้ให้โอกาสดิฉัน โอกาสในการปรับ เปลี่ยนอุปนิสัย ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปในทางที่ดี และมีความสงบสุขมากขึ้น จนดิฉันอยากจะบอกกับตนเองและทุกท่านว่า…ขอบคุณนะ มะเร็ง…
*ข้อสรุปที่ผู้ป่วยมะเร็งควรทราบ..คลิก
ที่มา : บทความที่เขียนจากประสบการณ์ชีวิตจริงของ คุณบุญสรวง เทวอักษร 23.06.08
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่เป็นประโยชน์ ขออนุญาตแชร์นะค่ะ