วันก่อนผมได้รับอีเมล์ที่เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิมในเมืองจีน ก็เริ่มแก่ตัวลง
วันก่อนผมได้รับอีเมล์ที่เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิมในเมืองจีน ก็เริ่มแก่ตัวลง ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพี.การ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง
ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง… ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆ ซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก
จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขออยู่เป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่… สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย… แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย
แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พักแม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อน ก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม
“เหตุการณ์ เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่า สุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ
เมื่อผมบอกแม่ว่า จะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย…”
“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆ บ้าง… ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”
“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา
แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่า จะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”
แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้
ทันใดนั้น มีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ”
แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง” ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที….
เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆ ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง
ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆ ซากๆ จนเธอหลับเลย
ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดอ้อนทั้งปลอบ เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้
ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม” ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม
ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว
ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ
ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง ให้ความรักและอดทนต่อฉัน ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ
ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป
ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว
หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ “เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวตลอดไปตอนนี้ ผมขออุทิศบทความนี้ให้กับลูกพเนจรทั้งหลาย โทรไปหาท่านบ้าง บอกรักท่านบ้าง บอกว่าคุณภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกท่าน บอกท่านว่าคุณอยากกินอาหารที่ท่านทำเสมอ….
หวังว่า บทความจากอีเมล์ฉบับนี้จะทำให้ลูกๆ หลายคนมีเวลาให้กับพ่อแม่ตัวเองบ้างนะครับ…
เสียงอ่าน – เมื่อฉันแก่ตัวลง
ซึ้งจัง! อ่านแล้วรู้สึกรักคนแก่ทุกคนเลย (ไม่มีพ่อแม่ให้ดูแลแล้ว)
เพราะในไม่ช้าเราก็จะแก่เช่นกัน
ใครอยู่ตจว.ก็กลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ให้บ่อยๆนะคะ
เพราะท่านคือพระ องค์สำคัญของลูกทุกคน
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันกันค่ะ…
อยากให้ทุกคนได้อ่าน เพราะวันนึงข้างหน้า เราก็ต้องแก่ตัวลง และหวังว่าลูกหลานของเรา คงเห็นใจและเข้าใจเราบ้างนะ
ดีใจจังเลยที่ได้อ่านอะไรดีๆ แบบนี้ คิดถึงคุณแม่ขึ้นมาทันที ปีนี้ก็รู้สึกว่าคุณแม่มีริ้วรอยขึ้นมาก บทความนี้จับใจจริงๆ นะคะ
เคยอ่านมาแล้ว อ่านอีกที ก็ยังรู้สึกดี หลงผิดแล้วคิดได้ ให้อภัย
อ่านแล้วสะอึก หูตาฟ่าฟาง คล้ายๆน้ำตาจะไหล แค่หวังว่าคนที่อ่านจะเข้าใจและหวนคิดได้ว่าควรทำอย่างไร
อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าไม่เฉพาะบุพการีของเราเท่านั้นที่ควรได้รับการดูแล ยังมีอีกหลายท่านที่ต้องการเช่นนี้เหมือนกัน เริ่มแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับท่านเหล่านี้แม้เพียงน้อยนิด ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เป็นบทความที่ดีมาก อ่านเเล้วให้ข้อคิดที่ดี..ขอบคุณที่นำมาเเบ่งปันคะ ^^
อ่านแล้วซึ้ง นึกถึงตอนเราแก่จัง
ผมก็เคย หงุดหงิด แม่ รำคาญ แม่ แต่ต่อไปนี้จะพยายาม เข้าใจแกมากขึ้น
รักแม่มากครับ
ลูกเลว
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ค่ะ อย่างน้อยก่อนที่เราจะเผลอทำไม่ดีกับแม่ ก็ได้คิดถึงบทความนี้ ดีใจมากมายค่ะ ที่ได้มีโอกาสอ่านบทความนี้ อีกไม่กี่วัน จะได้กลับไปทำงานใกล้ ๆ บ้าน จะได้กลับไปหาแม่บ่อยขึ้นแล้ว จะได้มีโอกาสดูแลท่านบ้าง จะคิดถึงบทความนี้เสมอ ๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะครับ ลูกทุกคนเป็นลูกที่ดีเสมอครับ …
ยังไม่สายเกินไป
ขอบคุณมากนะคะคุณดนัย สำหรับบทความดี ๆ ที่นำมาแบ่งปัน ทำให้น้ำตาไหลได้แบบไม่ตั้งตัวเลยทีเดียวค่ะ ซาบซึ้งมาก ๆ ค่ะ
เจี๊ยบค่ะ
อ่านแล้วน้ำตาไหลพราก ความรักที่คิดว่ามีต่อท่านแม่นั้นล้นเหลือ แต่ความจริงนั้นมันยังน้อยนัก ความเข้าใจในสิ่งที่ท่านเป็น ในยามที่ท่านแก่ชรา เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยพลังความรักอันสูงส่งมากมาก เพื่อปรับตัวเให้เข้าใจท่านให้มากขึ้น
จะขอทำให้ดียิ่งขึ้น รักท่านให้มากขึ้น เพราะสิ่งที่ลูกทำนั้นเปรียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ท่านแม่ที่เลี้ยงดูลูกมาก
อ่านแล้วอยากย้อนไปแก้ไขอดีตได้ พ่อแม่เสียแล้ว เป็นคนที่อยู่กับพ่อแม่ เทียบกับครอบครัวอื่นเราก็ดูแลท่านดีมากกว่าหลายๆ ครอบครัว แต่ด้านจิตใจบางครั้งมันก็อดที่จะเผลอไป เจอบทความแบบนี้ครั้งใดต้องร้องไห้ทุกที สิ่งที่ดีๆที่เราเคยทำไม่เคยลอยขึ้นมาในสมองเลย ภาพที่ไม่ดีจะตอกย้ำตลอดเวลา ทั้งที่น้อยกว่าสิ่งดีๆที่เราทำ ทำให้เครียดทุกครั้ง
ผมเป็นคนนึง ที่อ่านmailนี้..น้ำตาซึมครับ และชอบฟังคุณอา ทาง 96.5 อยู่บ่อยๆครับ ก็ขอสนับสนุนแนวคิดและคำแนะนำดีๆ อยากให้คนดีๆแบบนี้อยู่บนสื่อเยอะๆครับ….f..เด็กบ้านนอก ไฝ่ดี..
เรื่องนี้เคยได้อ่านจากฟอร์เวิล์ดเมล์เมื่อหลายปีก่อนค่ะ ซึ่งตอนนั้นทำเอาน้ำตาไหลและทำให้เริ่มเปลี่ยนนิสัยตัวเองที่มักจะเอาแต่ใจและหงุดหงิดกับแม่ ถึงวันนี้ได้มาอ่านอีกทีก็อดร้องไห้ไม่ได้ค่ะ อยากให้ลูกทุกคนดูแลพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังอยู่กับเราดีกว่ามานั่งเสียใจที่หลังว่าทำไมเราไม่ดูแลท่านให้มากกว่านี้ ในตอนที่ท่านไม่อยู่แล้วนะคะ
ซึ้งมาก เลยค่ะ สักวันทุกคนก้อต้องเป็นแบบนี้ พยายามเข้าใจท่านหน่อยนะค่ะ
ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ อ่านแล้วคิดถึงแม่ขึ้นมาทันที และนึกย้อนถึงตัวเองว่าถ้าเราแก่แล้วคงคิดอย่างนี้เหมือนกัน
ขอบคุณบทความ(จริง)ที่รู้สึกได้ คิดเลยไปถึงวันนั้นเมื่อเราแก่ตัวลงจริงๆก็คงหนีไม่พ้นความต้องการแบบคนแก่คนหนึ่งว่าต้องการอะไรบ้าง ที่อยากให้ลูกหลานทำให้ คงไม่ได้มากมายอะไร เพียงแค่เข้าใจกันบ้างคงพอและทำให้คนแก่คนหนึ่งรู้สึกดีและยิ้มได้ ย้อนมาปัจจุบันสำหรับคนที่ยังมีโอกาส ขอได้อย่าละเลยการดูแลผู้มีพระคุณด้วยหัวใจที่เข้าใจก่อนความจริงที่ทำให้เราต้องแยกจากกันนั้นมาถึง จากคนที่รักแม่แต่ชอบมีข้ออ้าง สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกลายเป็นคนที่เสียใจ….
อ่านแล้วซาบซึ้งในพระคุณนของแม่เป็นอย่างมาก อดร้องไห้ไม่ได้เลยค่ะ
อ่านแล้วน้ำตาซึม…เห็นอยู่บ่อยๆ
ขออนุญาตแชร์ให้เพื่อนๆนะคะ
ขอบคุณค่ะที่นำมาแบ่งปัน…ทำให้ได้เตือนสติตนเองว่า..จงเข้าใจแม่แต่อย่ารอให้แม่เข้าใจเรา..เพราะเวลาที่เหลืออยู่จงทำให้ท่านมีความสุขมากที่สุด..ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
อ่านครั้งใดก็ทราบซึ้ง มองเห็นภาพตัวเองยามชรา ตั้งใจทำความดีและทำหน้าที่ของลูกที่ต้องดูแลคุณพ่อที่ชรามากแล้ว แต่ยังช่วยตัวเองได้ ทุกครั้งรู้สึกเสียใจที่ทำบางอย่างให้คุณพ่อไม่ได้ แต่ท่านก็ให้อภัย ในความพยายามของลูก คุณพ่อเกรงใจลูกที่อยู่ด้วย ทุกครั้งที่อยากไปหาญาติพี่น้อง คุณพ่อก็บอกว่าแล้วแต่ลูกจะกรุณา ลูกฟังแล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับลูกชายของหญิงชราคนนี้
ลูกมักจะลืมความรักของแม่เมื่อโตขึ้น วันนี้ถ้าคุณยังมีแม่ คุณยังโชคดี
เคยอ่านใน forward mail มาแล้วครั้งนั้นอ่านแล้วก็ร้องไห้ ครั้งนี้อ่านอีก ก็ยังร้องไห้อยู่ค่ะ เรื่องดี ๆกระตุ้นต่องกตัญญูดีค่ะ ไม่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ให้ดูแลแล้ว แต่ขอดูแลญาติผู้ใหญ่ที่ยังอยู่ต่อไปค่ะ
แล้วไม่คิดถึงผมตอนแก่ล่ะ ใครจะดูแล เพราะผมไม่สร้างคน ให้เกิดมาลำบาก ไม่หวังพึ่งใคร ขอตัดวงจรวัฎฎะทุกข์
อ่านแล้วน้ำตาคลอเลยค่ะ จุกมาก ทำให้ได้คิดอะไรเยอะขึ้น!
อ่านแล้วคิดถึงพ่อแม่จังคะ ทำให้เรานึกถึงภาพทีตอนเสาร์-อาทิตย์หรือปิดเทอมแล้วกลับมาเยื่ยมบ้าน ถึงตอนนี้ทำงานแล้ว กลับบ้านทีไรพ่อแม่ตั้งตารอฟังเสียงรถอยู่ที่หน้าบ้าน โทรแล้วโทรอีกจนกระทั่งถึงบ้านแล้ว บอกว่าโล่งใจลูกเดินทางปลอดภัย ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้ทั้งความรัก การศึกษา ตอนนี้พ่อเป้นอัลไซเมอร์เลยมีเวลาได้ดูแลอยู่กับท่านตลอด รับรู้ด้วยความรูสึกว่าถึงแม้จะสื่อสารกันไม่ได้แต่ก็จะไม่ทอดทิ้งท่าน
วิถีชีวิต สังคม การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ แข่งขันในปัจจุบันทำให้เราหลงลืมพ่อ-แม่ อ่านบทความนี้แล้วทำให้หวนเตือนสติตนเอง เรามีเวลาทำอะไรให้ท่านเหลือไม่มากเท่าไร ขอบคุณนะคะที่มีข้อคิดดีๆๆไว้เตือนสติตนเอง จริงๆแล้วเรามักแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อ-แม่ แต่เวลาที่เรามีความทุกข์เราก็มักนึกถึงท่านเป็นคนแรก
-เสียงอ่านน่าฟังมากค่ะ
ขอบคุณที่สะท้อนความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลูกและเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้เป็นเวลาที่แม่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ก็จะถามทุกครั้งที่เข้าไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลว่ากินอะไรหรือยัง แม่ก็จะคอยห่วงใย คอยเตือนให้หาอะไรกิน และคอยถามว่าอร่อยไหม แม่คงอยากถามว่าอร่อยเท่าอาหารที่แม่ทำให้ลูกกินเป็นประจำหรือเปล่า
อ่านแล้วซึ้งมากเลยค่ะ น้ำตาไหล นึกถึงถ้าตัวเองแก่ลงแล้วจะเป็นอย่างไร ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันค่ะ
แม่เป็นผู้ให้ๆๆ และยังจะให้ตราบที่แม่ยังมีลมหายใจอยู่ ลูกคนนี้ของแม่ก็ยังเป็นลูกตัวเล็กๆ ที่แม่เห็นและให้ เสมอมา
ขอให้ลูกทุกคนเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ด้วยน๊ะค๊ะ
ขอบคุณคะในฐานะ เป็นแม่ของลูกชายทั้ง ๓และก็ใกล้ ๖๐ ปีแล้ว
ยังอดคิดถึงคุณยายไม่ได้ การเป็นแม่ เป็นศิลปะ อันละเอียดอ่อน
ในการเลี้ยงดูแลลูก สิ่งที่ปราถนาในชีวิต อันดับแรกเลย
คือ ขอให้ลูกเป็นคนดี มีศิ่ลธรรม และสามัคคีกัน ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณค่ะ ขอแบ่งปันนะคะ
ขอบคุณมากครับ
อ่านกี่ทีก็ซึ้ง…ง
ผมก็ซาบซึ้งทุกครั้งครับ … ชอบเรื่องราวดีๆ แบบนี้
กรุณาแบ่งปันได้ตามอัธยาศัยครับ
ได้รับการแบ่งปันจาก พี่ไหม ที่เรานับถือ เป็น พี่ เพื่อน ร่วมรุ่น รปม.4 ม.ขอนแก่น ที่แสนดีและมีน้ำใจ ความรัก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือรักของแม่ และพ่อ มีโอกาส ก็กอด ท่านทุกๆ คนนะค๊ะ เมื่อสัญญาณสุดท้ายของชีวิตท่านส่งเสียงบอกเรา เราจะได้ไม่เสียใจ และเสียดายเวลา ที่ไม่ได้ตอบแทนคุณท่านค่ะ
อยากให้ลูก ๆ ที่ยังมีพ่อแม่อ่าน รวมถึงหลาน ๆ ด้วย เพราะทุกวันนี้ เด็ก ๆ ไม่รู้จักคนแก่แล้ว!?! ขอบคุณที่นำเสนอมาให้ชื่นใจในฐานะแม่ที่เริ่มล้าสมัย
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ค่ะ ขออนุญาต share นะคะ
ด้วยความยินดีครับ กรุณาแชร์เลย!!
ขออนุญาติเอาไปแบ่งปันหน่ะครับ อ่านแล้ว ซึ้งใจมาก ^^
ตอนที่พ่อแม่มีชีวิตอยู่ไม่ค่อยได้กลับไปหา พอท่านเสียชีวิตแล้ว เรียกเวลากลับมาอีกไม่ได้แล้วเสียใจอย่างไรก็ต้องเสียใจเพราะไม่มีวันที่ท่านจะกลับมาพูดจากับเราได้อีกแล้ว มันฝังลึกเป็นจุดมืดดำในชีวิตเราเรียกว่าน้ำตาตกในเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ นึกถีงแต่ภาพที่ท่านห่วงใย กลัวจะไม่มีเงินใช้ เฝ้าคอยให้เรากลับเราก็ไม่กลับ เลวจริงๆเลย
จะทำอย่างไรจึงจะส่งบุญไปให้ท่านได้บ้างใครรู้ช่วยแนะนำด้วยค่ะจะเป็นพระคุณยิ่ง 0830435835
ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ อ่านแล้วทำให้เตือนสติตัวเองเสมอว่า เวลาของแม่เหลือนิดเดียวแล้ว เราต้องใช้เวลาที่มีอยู่กับแม่อย่างคุ้มค่าทุกวินาทีค่ะ
รู้สึกดี ๆๆ และซาบซึ้งทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแม่
ขอบคุณมากค่ะสำหรับบทความดีๆ ^________^